ภาวะของประเทศไทยเมื่อกลางปี 2552 คือ อยู่ในช่วงต้นของการระบาด ซึ่งไม่มีสิ่งใดสามารถยับยั้งการระบาดนี้ได้ (ทั้งโลกก็เหมือนกัน) การระบาดจะต้องดำเนินต่อไปจนเข้าสู่ช่วงกลาง (มีผู้ป่วยจำนวนมากมายเป็นแสนเป็นล้าน) แล้วโรคก็จะหยุดระบาดในที่สุด
เพราะผู้คนที่เหลือรอดจะมีภูมิคุ้มกันจนไม่ติดโรค หน้าที่ของเราคือ หาความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของเชื้อไวรัสเพื่อปฏิบัติตัวให้ไม่ติดเชื้อ หรือเมื่อติดแล้วก็สามารถรักษาจนหายได้ (ไวรัสชนิด type A subtype H1N1 ไม่มียาฆ่ามันแบบเจ๋งๆ วิธีรักษาเมื่อป่วยแล้วคือ ฟูมฟักระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ทำงานอย่างแข็งขัน จะได้ต่อสู้กับเชื้อโรคนี้ แล้วพิชิตมันได้ จึงหายป่วย) แต่ถ้าติดเชื้อแล้วอาการรุนแรงจนปอดบวม (เชื้อนี้ชอบโจมตีปอดเป็นที่สุด) ตอนนั้นต้องพึ่งคุณหมอให้ช่วยประคับประคองสถานเดียว ลองคิดสิว่า หากภาวะระบาดเข้าสู่ช่วงกลาง ซึ่งมีผู้ป่วยเต็มบ้านเต็มเมือง แล้วจะเอาโรงพยาบาลที่ไหนมารักษาได้เพียงพอ ฉะนั้นอันดับแรกคือ ทำไงให้ไม่ติดเชื้อ
เจ้าไวรัสแพร่กระจายจากผู้ป่วย ในอัตราที่ต่ำ เมื่อเทียบกับไวรัสอื่น เช่น
ผู้ป่วยโรคนี้ 1 รายจะแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ 1.5 ราย
ผู้ป่วย โรคซาร์ส 1 ราย จะแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ 3 ราย
ผู้ป่วย โรคหัด 1 ราย จะแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ 9 ราย
จะเห็นว่าอัตราแพร่เชื้อต่ำ (นับเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ที่แพร่เร็วเพราะปัจจุบันสังคมเปิด มีการคมนาคมข้ามโลก แต่ความรุนแรงของโรค จัดว่าไม่ร้ายเหมือนโรคซาร์ส) เชื้อนี้จะกระจายออกจากผู้ที่ ไอ จาม โดยอยู่ในรูปฝอยละอองเล็กๆ (ซึ่งคงมีน้ำหนักพอควร จึงไม่ปลิวได้ไกลเหมือนเชื้อหัด ไม่ใช่แบบกระจายฟุ้งไปไกลๆ) ประมาณว่าถ้านั่งในห้องแอร์ด้วยกัน แล้วมิได้ ไอ จามรดกันใกล้ๆ เชื้อจะปลิวไม่ถึงกัน แต่มือของผู้ป่วยที่เช็ดปากเช็ดจมูกของตัวเอง (ซึ่งก็เปื้อนละอองเชื้อ)แล้วมือนี้ก็ไปจับต้องโทรศัพท์ ลูกบิดประตู ตู้ ATM ปุ่มลิฟท์ แป้นคอม ก๊อกน้ำ ราวบันได ยื่นสิ่งของให้กัน ฯลฯ ก็จะละเลงเชื้อไปแพร่ไว้บนสิ่งเหล่านั้น รอเวลาที่มือของเราไปสัมผัสรับเอาเชื้อมา แล้วก็เอามือขยี้จมูก ขยี้ตา ป้ายปาก เชื้อจึงเข้าสู่ร่างกายเราด้วยวิธีเหล่านี้แหละ (ส่วนที่ติดเนื้อตัว เสื้อผ้าอยู่ไม่เป็นไร) เมื่อรู้ถึงเส้นทางเดินของเชื้อโรค จากผู้ป่วยมาถึงตัวเราเช่นนี้แล้ว แต่ละคนก็สามารถหาวิธี “ไม่รับเชื้อ” กันเอาเองได้ ซึ่งจะบังเกิดผลยิ่งกว่าแค่ไปฟังมาว่า ข้อหนึ่ง… ข้อสอง… ข้อสาม… ต้องทำแบบนี้แบบนั้น (เช่น กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ครอบปากจมูก เลี่ยงน้ำมูก น้ำลาย) อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนะจ๊ะ
กรณีโชคร้าย พลาดพลั้งติดเชื้อไปแล้ว ก็จะเริ่มป่วยภายใน 3 วัน (เร็วมากนะ หลายโรคใช้เวลาฟักตัวของเชื้อนานกว่านี้) อาการเหมือนเป็นไข้หวัดทั่วไป เช่น มีปวดหัว น้ำมูก ไข้ตัวร้อน (โดยมากไข้จะสูง มิใช่ไข้ต่ำๆ) พอเริ่มรู้สึกไม่สบาย ให้ใจเย็นไว้ก่อน เพราะไวรัสเป็นเชื้อดุร้ายปานกลาง แต่ที่ป่วยกันเยอะเพราะเป็นเชื้อตัวใหม่ ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เคยสัมผัส ในเลือดจึงมิมีแอนตี้บอดี้เฉพาะเชื้อนี้อยู่เลย พอร่างกายได้รับเชื้อปุ๊บ หน่วยลาดตระเวนของร่างกายแจ้งไปว่าพบศัตรู ให้ส่งกองกำลังมาปราบด่วน กลับได้รับคำตอบว่าเราไม่มีอาวุธเจ๋งๆ สำหรับเชื้อนี้สะสมไว้เลย ขอเวลาในการผลิตสัก 3 – 4 วันนะ ระหว่างรอผลิตเจ้าไวรัสร้ายก็แบ่งตัวขนานใหญ่ และเคลื่อนตัวไปสถิตย์ยังอวัยวะที่มันชอบ เป็นเหตุให้อวัยวะเหล่านั้นเดี้ยง ที่แย่สุดคือ ภาวะปอดบวมนั่นแหละ ดังนั้นช่วงเวลา 3 – 4 วัน ระหว่างรอผลิตอาวุธเจ๋งๆ เราก็ต้องช่วยร่างกายด้วยการพักผ่อนมากๆ (สงวนพลังงานไว้สร้างอาวุธ) ดื่มน้ำครั้งละครึ่งแก้ว ดื่มบ่อยๆ ทุกชั่วโมง เพื่อให้ปัสสาวะช่วยระบายความร้อนจากภาวะไข้สูง และกินอาหารที่เป็นประโยชน์ (อาหารแป้ง + น้ำตาลน้อยๆ อาหารย่อยง่าย โปรตีนสูง โอเมก้า3 ผักเยอะๆ) แล้วเราก็จะรู้สึกถึงชัยชนะ รู้สึกเริ่มดีขึ้น เริ่มหายป่วย ในวันที่ 3 – 4 แบบนี้แปลว่าระบบภูมิคุ้มกันของเราเข้มแข็งนะ ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่จะเป็นเช่นนั้น…ยกเว้นกลุ่มเสี่ยง !
กลุ่มเสี่ยง
แปลว่าระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ได้แก่ผู้มีโรคตับ ไต หัวใจ ปอด อ้วน ตั้งครรภ์ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง (เอดส์) ได้สเตียรอยด์ ฉายรังสี เคมีบำบัด อยู่แล้ว…ถ้ารู้สึกไม่สบาย ไข้สูงมาก กินพาราไข้ก็ไม่ลง จงรีบไปพบแพทย์เลยด่วนจี๋ แต่คนที่พื้นฐานสุขภาพแข็งแรงดี รีบเก็บตัว พักผ่อน ซ่อมบำรุงร่างกายไว้ ไม่ต้องตื่นตระหนกตกใจเกินเหตุ ขืนเข้าโรงพยาบาลสุ่มสี่สุ่มห้าก็พาตัวไปรับเชื้อเต็มๆ
หากใช้หลักว่า การใช้สารอาหารที่ปลอดภัย น่าจะได้มากกว่าเสีย หลินจือซึ่งมีเบต้ากลูแคน ควรได้ขนาดของกลูแคนสุทธิเท่ากับ 1 กรัม ร่วมกับวิตามินซี 500 มก. ห่างกัน 8 ชม. สำหรับผู้เริ่มติดเชื้อ น่าจะเป็นเสมือนกองกำลังไปช่วยต่อสู้เชื้อได้ (ผู้ที่แพ้คาเฟอีน อาจต้องเลือกแบบไม่ผสมชาหรือคาเฟอีน เมื่อใช้ปริมาณมากถึง 10 แคปซูล/มื้อ) ผู้ที่ไม่ชัวร์ว่าร่างกายมีภูมิต้านทานพร้อมไหม หากเร่งเสริมเซลล์ไทมัส 1x2x10 บวกองค์รวม 1x1x10 น้ำมันปลา 1x3 ให้แข็งแรงเข้าไว้ น่าจะได้มากกว่าเสีย !
สมุนไพรที่สามารถต้านเชื้อไวรัสได้ดีนั้นมีหลายชนิด เช่น คาวตอง หรือพลูคาว ฟ้าทะลายโจร หญ้าห้าราก หรือจันทลีลา การแพทย์แผนไทยแนะนำให้ใช้ฟ้าทะลายโจร ขนาดวันละ 1.5 – 3 กรัม แบ่งให้ทุก 6 ชั่วโมง ดูสัก 2 วัน
ฟ้าทะลายโจร
มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Andrographic paniculata ชื่อสามัญคือ Kariyat, The Creat อยู่ในวงศ์ Acanthaceae ชื่ออื่นเช่น หญ้ากินงู (สงขลา) น้ำลายพังพอน ฟ้าทะลายโจร (กทม.) ฟ้าสาง (พนัสนิคม) เขยตายยายคลุม สามสิบดี (ร้อยเอ็ด) เมฆละลาย (ยะลา) ฟ้าสะท้าน (พัทลุง) เป็นต้น เป็นไม้ล้มลุก สูงประมาณ 30 – 70 ซม. กิ่งเป็นใบสี่เหลี่ยม ใบเลี้ยงเดี่ยวมีสีเขียวเข้มเป็นมัน ดอกออกที่ปลายกิ่ง และซอกใบ ดอกย่อยมีกลีบดอกสีขาว โคนกลีบติดกัน ปลายแยกเป็น 2 ปาก คือ ปากบนมี 3 กลีบ และมีเส้นสีม่วงแดงพาดอยู่ ส่วนปากล่างมี 2 กลีบ ส่วนที่นิยมใช้มากที่สุดคือ ใบกลางแก่กลางอ่อน หมายถึงใบล่างๆ ที่มีสีเขียวเข้มไม่แก่ หรืออ่อนเกินไป
สารสำคัญของฟ้าทะลายโจร ประกอบด้วย สารจำพวกไดเทอร์ปีนแลคโตน (diterpene lactones) หลายชนิดได้แก่ andrographolide, neoandrographolide, deoxyandrographolide, deoxy–didehydroandrographolide เป็นต้น
สรรพคุณ เช่น แก้ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ระงับอาการไอ เจ็บคอ คออักเสบ หลอดลมอักเสบ ขับเสมหะ แก้อาการท้องเสีย หรือลำไส้อักเสบ อีกทั้งยังเป็นยาขมช่วยให้เจริญอาหาร ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้รับรองฟ้าทะลายโจร เป็นสมุนไพรที่ช่วยบรรเทาอาการหวัดได้ เนื่องจากมีฤทธิ์ในการสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ดังนั้นหากพบว่าร่างกายมีอาการเหมือนจะเป็นไข้ การรับประทานฟ้าทะลายโจรก็จะช่วยยับยั้งไม่ให้มีอาการไข้ได้เป็นอย่างดี จากฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้น
กรณีใช้ใบสดจากต้น (ซึ่งมีสารพืชอยู่เต็มอัตรา) นำมาบดปั้นเป็นลูกกลอน ชุบน้ำผึ้งกลืน ช่วยลดรสขมได้ดี ที่สะดวกสุดๆ คือ ในรูปยาแคปซูล แต่หากหมดอายุก็เสื่อมสรรพคุณไปตามลำดับ
ข้อพึงระวัง อาจพบปลอมปนแป้งมัน หรือนำเสลดพังพอนมาบดรวม ไม่ควรใช้ในสตรีมีครรภ์ และการเจ็บคอจากเชื้อ streptococcus groupA, ผู้ป่วยไตอักเสบจากเชื้อ strep.gr.A ประวัติโรคหัวใจรูมาติก ผู้ป่วยที่เจ็บคอ เนื่องจากเชื้อแบคทีเรีย และมีอาการรุนแรง เช่น มีตุ่มหนองในคอ มีไข้สูง หนาวสั่น ผู้มีความดันต่ำ เพราะฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ลดความดันเลือดได้ เป็นยาเย็น หากกินติดต่อกันนาน อาจเกิดแขนขาชาอ่อนแรง ปวดท้อง ท้องเดิน ปวดเอว วิงเวียน ใจสั่น จึงไม่ควรใช้ติดต่อกันเกิน 3 สัปดาห์
หากใช้ 3 วันแล้วไม่หายหรืออาการรุนแรงขึ้น ควรพบแพทย์ทันที
น้ำมันมะพร้าว
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เป็นเชื้อไวรัสชนิดที่มีผนังโครงสร้างเป็นไขมันเช่นเดียวกับ ไวรัสเอดส์ (HIV), เริม, งูสวัด (Herpes) ไวรัสตับอักเสบ (Hepatitis) การที่มีผนังเซลล์เป็นไขมัน ทำให้แทรกซึมเจริญเข้าฝังตัวในเนื้อเยื่อของร่างกายได้ง่าย ยาปฏิชีวนะ สารเคมีทั้งหลายทำอะไรไม่ได้
แต่น้ำมันมะพร้าว อันมีกรดลอริคเป็นส่วนใหญ่ สลายให้โมโนลอริน แทรกซึมเข้ากับไขมันของผนังไวรัส ทำให้เสียโครงสร้าง ถูกทำลายได้ กรดลอริคยังส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน กระตุ้นบำรุงเม็ดเลือดขาวอีกด้วย จึงนอกจากฆ่าไวรัส ด้วยความเป็นไขมันพิเศษ (กรดลอริค) ของน้ำมันมะพร้าวแล้ว มันยังทำให้เม็ดเลือดขาวภูมิคุ้มกันแข็งแรง และเหลือพอไปต่อสู้กับเชื้อโรคอื่นๆ อีกด้วย
ในระยะไข้หวัด 2009 ลุกลาม การดื่มน้ำมันมะพร้าววันละ 2 – 4 ช้อนโต๊ะ จึงเป็นการเสริม เพิ่มพลังในการต่อสู้ ป้องกันโรคนี้ เป็นทางเลือกอันดับแรก แต่หากติดเชื้อจนเริ่มเกิดอาการแล้ว ฟ้าทะลายโจรจึงเป็นตัวเสริม แต่หากสายเกินไปจนเข้าสู่ปอดอักเสบติดเชื้อแล้ว ก็ต้องรีบพบแพทย์ใช้ยาต้านไวรัสเฉพาะ
การใช้น้ำมันมะพร้าวจึงสะดวก ปลอดภัย และคุ้มค่า ดูเหมือนดีกว่าฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้ด้วยซ้ำ แล้วเด็กบริโภคได้ไหม ?…ได้…ขนาดที่แนะนำ คือ 0.3 – 1 กรัม/กก.น้ำหนักตัว ขนาดบริโภควันละไม่เกิน 4 ช้อนโต๊ะ ไม่ทำให้อ้วน อีกทั้งเพิ่มอัตราเผาผลาญต่อต้านความอ้วนอีกด้วย
* สรุป แนวทางสุขภาพพื้นฐานสู่การพึ่งตนเอง
- การป้องกัน…ตามที่กล่าวแล้ว
- การบำรุง ด้วยเซลล์ไทมัส 1x2x10 ร่วมกับองค์รวม 1x1x10 และน้ำมันปลา 1x3 ทุกวัน ทานผักผลไม้มากๆ พร้อมการออกกำลังกายพอเหมาะ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในที่อากาศถ่ายเทในระยะไข้หวัด 2009 ระบาด การดื่มน้ำมันมะพร้าววันละ 2 – 4 ช้อนโต๊ะ จึงเป็นการเสริม เพิ่มพลังในการต่อสู้ ป้องกันโรคนี้
- การรักษา เมื่อเริ่มติดเชื้อใหม่ๆ ให้หลินจือ หรือเบต้ากลูแคน 10x2 + วิตามินซี 500 มก. หรือ ผักผลไม้มากๆ ร่วมกับฟ้าทะลายโจรวันละ 1.5 – 3 กรัมx2 วัน พักผ่อน แยกตัว การรักษาด้วยยาโอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir–Tamiflu) หากใช้ยานี้ต้องกินให้ครบ 10 เม็ด ตามเวลา 5 วัน วันละ 2 เม็ด ห้ามหยุดก่อนเวลา
- สำหรับกลุ่มเสี่ยง หรือผู้มีอาการรุนแรงขึ้น…ให้พบแพทย์ด่วน