การกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทำให้เกิดอาการแพ้ได้หรือไม่ ?
- ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็คือสารอาหารกึ่งบริสุทธิ์ที่สกัดจากวัตถุดิบธรรมชาติ แล้วมาทำเป็นเม็ดหรือแคปซูลเพื่อให้สะดวกในการรับประทานเสริมหรือชดเชยสารอาหารบางอย่างที่ร่างกายขาดไปหรือสังเคราะห์เองไม่ได้ ดังนั้นหากใครแพ้อาหารบางชนิด ก็อาจทำให้เกิดอาการแพ้สารอาหารนั้นที่อยู่ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้เช่นเดียวกัน อาทิแพ้อาหารทะเลก็อาจแพ้ผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากสัตว์ทะเลได้ เช่น ไคโตซาน ที่สกัดจากเปลือกสัตว์ทะเล, น้ำมันปลา เป็นต้น ถือเป็นเรื่องปกติของการแพ้อาหาร ไม่ใช่แพ้ยา บางครั้งการรับประทานผลิตภัณฑ์บางชนิดในระยะแรกๆ อาจเกิดอาการข้างเคียงเล็กน้อย (ไม่ใช่อาการแพ้) เมื่อร่างกายปรับตัวได้ก็จะกลับสู่ภาวะปกติ เช่น สารสกัดจากใบแปะก๊วย อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียน ปวดศีรษะหรือร้อนวูบวาบ เนื่องจากมันปรับระบบการไหลเวียนเลือดให้สะดวกขึ้น จึงทำให้เกิดอาการได้บ้างในช่วงแรก
เมื่อเป็นโรคแล้ว การกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะช่วยรักษาโรคให้หายได้หรือไม่ ?
- อาหารเสริมไม่ใช่สารสังเคราะห์ทางเคมีเช่น ยารักษาโรค ดังนั้นคงไม่สามารถหวังผลในการรักษาแบบออกฤทธิ์รวดเร็วทันใจเหมือนยาได้ แต่เป็นการหวังผลในระยะยาวโดยทำให้อาการของโรคหรือสุขภาพดีขึ้น หากเป็นโรคที่จำเป็นต้องใช้ยารักษาเพื่อให้หายโดยเร็วหรือให้เกิดความปลอดภัยก็ควรต้องใช้ยา ไม่ใช่เลิกกินยาแล้วมากินอาหารเสริมแทน อย่างไรก็ตามมีข้อมูลที่บอกว่าการกินอาหารเสริมร่วมกับยา จะช่วยบรรเทาอาการของโรคบางอย่างได้เร็วขึ้น เช่น การกินกระเทียมและวิตามินซีขนาดสูงจะช่วยให้อาการหายหวัดเร็วขึ้น หรือการกินกระเทียมและเลซิทินจะช่วยลดไขมันในเลือดได้ บางกรณีการใช้อาหารเสริมเป็นทางเลือกที่ฉลาดกว่า เช่น ใช้น้ำมันปลาแทนแอสไพรินในกรณีป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือด
เมื่อต้องกินยา จะต้องหยุดกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารด้วยหรือไม่ ?
- ไม่จำเป็นเพราะผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นสารอาหารเกือบบริสุทธิ์ที่ร่างกายต้องการ โดยทั่วไปจึงไม่มีปฏิกิริยาต้านยารักษาโรค ในทางตรงข้าม ยังช่วยเสริมประสิทธิภาพในการรักษาโรคนั้นให้ดีขึ้น หรือไปทดแทนอาหารที่ร่างกายขาดหายไปในช่วงที่เจ็บป่วยแล้วทานอาหารได้น้อย อย่างไรก็ตาม หากไม่แน่ใจก็ควรปรึกษาแพทย์ที่สั่งจ่ายยาให้
มีคนทานน้ำมันปลาเป็นประจำ แล้วบังเอิญต้องเข้ารับการผ่าตัด หลังผ่าตัดแพทย์พบว่ามีปัญหาเรื่องเลือดไหลหยุดยาก และสรุปว่าเกิดจากน้ำมันปลา จึงมีผู้สงสัยว่าเป็นเช่นนี้ได้หรือ ?
- หากไปดูข้อมูลเรื่องน้ำมันปลา จะพบว่ามันมีฤทธิ์ในการยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือด เพื่อป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดในส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น สมอง หัวใจ ในขณะเดียวกัน จึงมีผลทำให้เลือดหยุดไหลช้า ดังนั้นจึงมีข้อแนะนำสำหรับผู้ที่ทานเป็นประจำว่า เมื่อมีกำหนดการผ่าตัด ควรจะหยุดทานล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือนและควรแจ้งข้อมูลให้แพทย์ทราบด้วย
ถ้าหยุดทาน OPC แล้วจะเกิดฝ้าใหม่หรือไม่ ?
- เมื่อฝ้าจางหรือหายแล้วสามารถหยุดได้ไม่จำเป็นต้องรับประทานต่อเนื่องตลอดไป การที่ฝ้าจะกลับเป็นใหม่นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น การถูกรังสี UV เป็นประจำ, ฮอร์โมนในร่างกาย, ยาคุมกำเนิดเป็นต้น \ คำตอบคือ เกิดได้ถ้าไม่ป้องกันต้นเหตุ
OPC รับประทานคู่กับยาคุมได้หรือไม่ ?
- รับประทานได้ตามปกติ
เป็นเอสแอลอี (หรือโรคพุ่มพวง)อยู่ ทานอาหารเสริมหลินจือ โคคิวเทน และสารสกัดจากเมล็ดองุ่น (OPC) อาการโดยทั่วไปดี ได้รับยาคลอโรฟิน เมโทเทรกเสท และเพิ่มกลุ่มซัลฟา หลังจากผลเลือดไม่ OK ขอคำแนะนำว่า ควรหยุดอาหารเสริมไหม ?
- หากผลลัพธ์ (อาการทั่วไป)ดี แต่ผลแลปส์ (เช่น ผลเลือด, ปัสสาวะ) ไม่ OK ควรใช้ผลลัพธ์มากกว่า สำหรับโรคนี้ เชื่อว่าแพทย์คงสั่งใช้โคคิวเทนเพิ่ม รวมถึงวิตามินบี เพราะคลอโรฟิน ก่อให้ร่างกายสูญเสีย โฟลิค เมโทเทรกเสทก็กดการสร้างโคคิวเทน โดยขนาดที่ควรใช้ คือ โคคิวเทนขนาดวันละ 100 มก. และ OPC 300 มก.โดยแบ่งเป็น 3 เวลา และควรเพิ่มโอเมก้า3 น้ำมันปลา ให้ลดการจับกลุ่มของเม็ดเลือด ช่วยการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นด้วย ปัญหา คือ อาหารเสริมที่ใช้มีสิ่งแปลกปลอมหรือสารอื่นที่ไม่พึงประสงค์ปนอยู่หรือไม่ นอกเหนือจากว่า แพงเกินจำเป็นรึเปล่า ! (แบบว่าตั้งราคาสูงๆ ให้ดูดีเข้าไว้...แต่ถูกไปก็ระวังของไร้คุณภาพ)
- ในความเห็นส่วนตัว หากอาการทั่วไป ดีขึ้นก็ไม่ควรเลิกสารอาหาร แต่ควรลดยาแผนปัจจุบันโดยเฉพาะสารสเตอรอยด์ คลอโรฟิน และเมโทเทรกเสท แม้กระทั่งกลุ่มซัลฟา ซึ่งหากลดแล้วอาการเลวลง (ไม่ใช่ผลเลือด) จึงควรกลับไปใช้ใหม่ หรือเพิ่มขนาดใหม่ โดยคงขนาดสารอาหารให้เพียงพอจากผักผลไม้ (ที่ปลอดสารพิษ) เพิ่มเติมกากใย พร้อมดื่มน้ำมากๆ
- ในทางตรงข้ามหากทดลองงดสารอาหารแล้ว ผลแลปส์ดี แต่อาการทั่วไปของร่ายกายเลวลง คิดว่า เพิ่มสารอาหารปลอดภัยกว่ากันเยอะครับ
- ขอสรุปว่า รักษาแบบเอาผลโรค ดีกว่าผลเลือด ครับ...ลดยาดีกว่าลดสารอาหาร...เพิ่มสารอาหาร ดีกว่าเพิ่มยา...เว้นแต่ว่าไตชำรุดก็คงต้องหยุดเกือบทุกอย่าง ยกเว้น หลินจือสกัด และเซลล์ไต
จะลดความอ้วนโดยไม่ใช้ยา ไม่อยากเข้าคอร์สแพงๆ มีหนทางไหม ?
- เรื่องนี้อยู่ที่ใจอันมุ่งมั่น สาระหลัก คือ "งดแป้ง น้ำตาล" แต่ข้อเท็จจริง มักงดไม่ได้ เพราะแป้ง น้ำตาลแทรกซึมอยู่ในอาหารทั้งหลาย เคล็ดลับ คือ ลดปริมาณอาหารลงสัปดาห์ละ 10% เพื่อมิให้ร่างกายตอบโต้เป็นโยโย่เอฟเฟก (เสมือนลูกดิ่งขว้างออกมาแล้ว เด้งกลับเข้าไปคงเดิม หรือเข้าๆ ออกๆ...บวมๆ ยุบๆ)
- จากสาระหลักเรื่องลดแป้ง น้ำตาล ก็มีเคล็ดหรือตัวช่วยที่สำคัญ เช่น การแปรงฟันหลังอาหารทุกมื้อ หลีกเลี่ยงการทานเป็นหมู่คณะ อย่าอดมื้อเช้า ตรงข้ามต้องให้หนักมื้อเช้า กลางวันเบาลง มื้อเย็นน้อยสุดเหลือเพียงผักผลไม้กากใย อย่าอดนอนโดยเข้านอนก่อน 4 ทุ่ม ตลอดจนหลีกไกลไขมันทรานส์ สารพิษในอาหาร ซึ่งหากเลี่ยงไม่ได้สารอาหารกลุ่มรวมทีมสารต้านอนุมูลอิสระ (Beauty with Toxin scavenger) แร่ธาตุ สังกะสี น้ำมันปลา ตลอดจนกลุ่ม Block and Burn calories ก็ช่วยเสริมเติมพลังในการลดแคลอรี่เพิ่มอัตราเผาผลาญได้
- ยังมีรายละเอียดข้อแนะนำเป็นสูตรSLENDER FASTER ช่วยจำ
- สรุป อ้วนนั้นลดได้แน่ แต่หากขาดปณิธานที่มุ่งมั่นให้ความสำคัญ ก็มักกลับไปอ้วนกว่าเก่า !
ทำไมควรใช้ CoQ10 ในผู้ป่วยพาร์กินสัน ?
- พาร์กินสัน เป็นโรคที่เกิดมีความเสื่อมของเซลล์สมอง สาเหตุจากเซลล์ประสาทถูกทำร้าย โดยเฉพาะอนุมูลอิสระจากโลหะหนัก การได้รับสารพิษโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม อลูมิเนียม ทำให้สะสมหรือไปจับเซลล์ประสาทสมอง จนเซลล์ประสาททำงานไม่ต่อเนื่อง การที่จะลดพิษ ก็คือเลี่ยงการรับสารพิษหนึ่ง อีกทางหนึ่ง คือ ปกป้องการจับตัวของสารพิษอนุมูลอิสระที่มากับโลหะหนัก วิธีการคือ สารต้านอนุมูลอิสระ ยิ่งมีมากก็ยิ่งต้านได้ดี
- CoQ10 จึงเป็นตัวเลือกจากสมาคมแพทย์ประสาทสหรัฐ ในปี 2002 ให้ใช้เป็นอาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน หากเสริมด้วย OPC และน้ำมันปลา ก็ยิ่งได้บำรุงและป้องกันอาการพิษอีกทางหนึ่ง
- ยังมีอีกทางหนึ่งในการกำจัดสารพิษโลหะหนักที่จับตัวอยู่กับเซลล์ประสาท คือ การไล่พิษ ที่เรียกคีเลชั่น โดยพบว่าเมื่อไล่ออกได้เซลล์ประสาทก็งอกมาเชื่อมต่อกันได้ อาการโรคก็ย่อมหายสบายขึ้น
- ล่าสุดมีคำแนะนำให้บริโภคน้ำมันมะพร้าว VCO ขนาด 2 – 4 ช้อนโต๊ะทุกเช้า โดยมีการอธิบายกลไกการเปลี่ยนเป็นคีโตนของน้ำมันมะพร้าวให้เซลล์สมองนำไปใช้ได้ อีกทั้งความเป็นไขมันสายโมเลกุลปานกลาง สามารถดูดซึมเข้าสู่เซลล์ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอินซูลิน
ทำไมต้องใช้ CoQ10 ในผู้ที่กินยาลดไขมัน (statin) ?
- เพราะ Statin หรือกลุ่มยาลดคอเลสเตอรอล (Cholesterol) จะไปกดการสร้างโคคิวเทนด้วย เราทราบว่าCoQ10 เป็นสารผู้ร่วมก่อสร้างอเซทีล โคลีน(Ac Ch) จากสารตั้งต้น คือ โคลีน + บี6
- นอกจาก AcCh เป็นตัวควบคุมความดัน ต้านฤทธิ์กับ Adrenaline คือ ระหว่างภาวะสงบกับภาวะการรบแล้ว การขาดอเซทีล โคลีน ยังก่อให้เกิดภาวะซึมเศร้า อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หายใจติดขัด ลำบาก เหน็บชา ความจำเสื่อม ผู้ที่ทานยาสแตตินจึงขาดโคคิวเทนมิได้
ทำไมเหงือกอักเสบจึงเกี่ยวกับ CoQ10 ?
เพราะระบบหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจมีการต่อตรงกับเหงือก อาการอักเสบติดเชื้อที่หลอดเลือดหัวใจจะแสดงที่เหงือก หรือ à หากเหงือกอักเสบ ปล่อยทิ้งไป จะติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจได้ CoQ10 ไปช่วยให้หัวใจทำงานดีขึ้น โดยช่วยลด Oxidative stress งานต้านอนุมูลอิสระดีขึ้นมาก ขณะที่ภาวะหัวใจดีขึ้น ภาวะอักเสบที่เหงือกก็พลอยดีไปด้วย
สารอาหารอื่นที่ช่วยลดความดันมีอะไรบ้าง ?
ก็ท้าวความถึงที่มาสาเหตุแห่งความดันสูง
- พอสูงแล้ว หัวใจทำงานหนัก g ขาด CoQ10
- สูงจากได้รับเกลือ โซเดียมมากขับไม่ออกก็ต้องการสารอาหารที่ช่วยขับโซเดียม คือ โปแตสเซียม
- สูงจากผนังหลอดเลือดแข็ง กระด้าง ไม่ยืดหยุ่น ก็อาศัยตัวช่วยเสริมสร้างผนังเซลล์ที่ดี คือ โอเมก้า3 น้ำมันปลา
- สูงจากความเครียด การหด (เกร็งของหลอดเลือด) ก็อาศัยสารช่วยคลายตัวของกล้ามเนื้อ ได้แก่ แมกนีเซียม Mg ยังช่วยสร้างภาวะด่าง ทำให้ลื่น ไม่ข้นหนืด ทำให้ใช้แรงบีบส่งเลือดน้อยลง –
- สูงจากผนังหลอดเลือดเสียหายเกิดพลัก จากพิษของโฮโมซีสทีน (Homocystein) ก็ต้องอาศัยกระบวนการเมทิลเลชั่น (Methylation) ซึ่งต้องใช้ โคลีน (Choline) กับ บี6 + บี12
- สูงจากผลของไขมันเลว LDL พิษ ทำให้ผนังหลอดเลือดเสียหายก็ต้องใช้สารต้านอนุมูลอิสระ (antox) ต่อต้านสารพิษ ซึ่งสุดยอดสารต้านอนุมูลอิสระ ก็คือ โอพีซี (OPC) นอกจากอาหารแล้วก็ยังมีเรื่องของการออกกำลังกายที่พอเหมาะ และการฝึกจิต สมาธิให้สงบ ลด เลี่ยง บุหรี่ แอลกอฮอล์