ลุง – ป้า เป็นคำหยาบคาย ตอนอายุ 40 กว่าย่าง 50 หลายท่านคงเคยมีประสบการณ์ ถูกเรียกว่า “คุณลุง คุณป้า” ได้ยินแล้วใจแป้ว แก่แล้วรึ…ไม่ค่อยดีใจที่ได้รับการยกย่องจากผู้น้อย อยากหันไปด่า ใครเป็นญาติแกแต่เมื่อไหร่
จึงอยากเตือนหนุ่มๆ สาวๆ เอาไว้…อย่าไปเที่ยวเรียกใครคุณลุง คุณป้า…มันเป็นคำหยาบ !…ทำร้ายจิตใจ เว้นแต่ว่า เป็นพี่ของแม่หรือพ่อ จริงๆ ต่อไปไม่รู้เรียกผู้อาวุโสยังไงละก้อ ขอให้เรียก “น้า หรืออา” เข้าไว้ ! ยังไงก็ฟังดูอ่อนวัย แล้วอายุเท่าไรก็ยังอ้างว่าพ่อแม่ของเราดูแก่กว่าได้…แม้จะไม่จริง !
แต่สำหรับคุณลุงคุณป้า ถูกเรียกไปเรียกมาสัก 5 – 10 ปี ก็จะชินชายอมรับสภาพ (ไปเอง !) สิ่งที่ควรดีใจ คือได้ตำแหน่ง “สว” อย่างถาวร ไม่มีใครปลดหรือรอเลือกตั้ง จะร่างกฎหมายอย่างไรก็ฟรีโหวต…ในสภากาแฟ ! เพราะ “สว” นี้แปลว่า “ผู้สูงวัย” สถานะ สว มักติดตามมาด้วย อาการอันเนื่องมาจากภาวะพร่องฮอร์โมน ภาวะพร่องฮอร์โมนเกิดจากอวัยวะที่สร้างฮอร์โมน อ่อนล้า สร้างได้น้อยลง เมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศ
นอกจากตัวอวัยวะผู้สร้างฮอร์โมนเพศทรุดโทรมแล้ว ผู้สั่งการคือต่อมใต้สมอง และสมอง ก็สั่งการบกพร่อง อ่อนล้าได้ ฮอร์โมนเป็นตัวควบคุมการทำงาน และซ่อมแซมส่วนต่างๆ ของร่างกาย อาทิ การเพิ่มปริมาณกล้ามเนื้อ การทำงานของสมอง อารมณ์ การมีประจำเดือน
เมื่อไรจะได้เป็นสว
ข้อมูลล่าสุดพบว่าวัยสดใสของหนุ่มสาวนั้น เจริญเต็มที่ ที่อายุ 23 ปี หลังจากนั้นก็เข้าสู่ภาวะทรงกับทรุด วัยเสื่อมนั้นพบว่าผู้ชาย “เริ่มเร็ว เสื่อมช้า” คือเริ่มที่อายุ 35 แล้วเสื่อมลงช้าๆ ส่วนหญิง “เริ่มช้า เสื่อมเร็ว” กล่าวคือ มักเริ่มอาการที่อายุราว 40 แต่อาการมักตามมาอย่างรวดเร็ว และบางคนก็รุนแรง
ได้เป็นแล้วไง !
ในชาย เมื่อฮอร์โมนพร่อง ก็ส่งผลให้ร่างกายขาดความกระปรี้กระเปร่า พละกำลังถดถอย อารมณ์หดหู่ ซึมเศร้า ท้อแท้ต่อชีวิต หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย ตระหนก กังวล เกิดความเครียด ปวดหลัง ปวดข้อ ก่อให้เกิดอาการหย่อนสมรรถภาพ ก็เลยยิ่งหดหู่ ซึมเศร้า เป็นวงจรย้อนกลับ
ในหญิงสัญญาณบ่งชี้ว่า ระดับฮอร์โมนบกพร่อง ได้แก่ มีอาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออก เฉื่อยชา ขาดชีวิตชีวา หน้าอกหย่อนยาน ช่องคลอดขาดความชุ่มชื้น การตอบสนองทางเพศไม่เป็นที่พอใจ ผม ผิว เสื่อมสภาพ หงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย เครียดวิตกกังวล ความจำพร่าเลือน ขาดสมาธิ ปวดศีรษะ กระดูกพรุน ฯ
อโรคยา มีค่าล้ำเลิศ
เมื่อสูงวัยมาถึงก็มักพาโรคภัยมาเยือนบ่อยๆ ใครที่ทะนุบำรุงร่างกายมาอย่างดี ก็คงคุ้มค่า แต่ถ้าไม่เจ็บป่วย ไหนเลยจะซาบซึ้งถึงคำว่า “อโรคยา มีค่าล้ำเลิศ” ในภาพรวมของการแก้ปัญหาในวัยทอง แพทย์มักให้ฮอร์โมนทดแทน เพื่อให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายกลับมาเทียบเท่ากับตอนอายุ 25 – 35 ปี…แต่การใช้ฮอร์โมนจากภายนอก ไม่ว่าเอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน หรือฮอร์โมนหนุ่มสาว ก็มีผลเสีย และอันตรายตามมา แม้จะแก้ไขภาวะขาดฮอร์โมนได้ ก็ต้องฉีดยาหรือได้รับประจำ ก็ยิ่งทำให้ต่อมใต้สมอง และอวัยวะผู้สร้าง ไม่หลั่งฮอร์โมนตามปกติ หากหยุดฉีดกระทันหัน มักเกิดอาการขาดอย่างฉับพลัน ส่งผลให้ทรุดโทรมทันตา ในขณะที่ค่าใช้จ่ายแต่ละครั้งก็ค่อนข้างสูง ครั้นจะฉีดไปเรื่อยๆ ก็มีข้อห้ามใช้เกิน 5 ปีกำกับอยู่ ด้วยพบว่าผู้ใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์ประจำ มีแนวโน้มนำก่อเกิดมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งลำไส้ได้สูง
ในขณะที่ฮอร์โมนพืช (phytoestrogen) เช่น จากถั่วเหลือง มีความปลอดภัย ได้ผลทดแทน ซ้ำช่วยต้านมะเร็ง จึงมีวิธีที่เหนือกว่า ปลอดภัยกว่า คือ การซ่อมบำรุงอวัยวะผู้สร้างฮอร์โมนให้ฟื้นคืนกลับมาสร้างฮอร์โมนได้ตามธรรมชาติ อีกทั้งการเสริมสร้างภูมิต้านทาน การนอนหลับ ต่างๆ อย่างน้อยก็ได้คุณภาพชีวิตไปจวบจนสิ้นอายุขัย…ตายแบบ apoptosis
ยังมีปัจจัยร่วมรักษาอื่นๆ เช่น
- อาหารที่ให้ฮอร์โมนพืชได้แก่ ถั่วเหลือง อาหารกากใย จากผักผลไม้ (หวานน้อย ปลอดสารพิษ) ปลา คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เบต้ากลูแคน
- ออกกำลังกายพอเหมาะ สม่ำเสมอ
- นั่งสมาธิ คลายเครียด สูดหายใจเข้าลึกๆ ยาวๆ
- เข้านอนก่อน 4 ทุ่ม
- เสริมด้วยวิตามิน แร่ธาตุที่จำเป็น เช่น โคลีน, วิตามินบี, โคคิวเทน, กรดไลโปอิค,แคลเซียม,แมกนีเซียม,น้ำมันปลา ฯลฯ
จะเห็นว่า การแพทย์ชีวโมเลกุล เซลล์ซ่อมเซลล์เป็นสาระสำคัญในการแก้ไข บรรเทาอาการไม่พึงประสงค์จากภาวะวัยทอง โดยเป็นการแก้ที่ต้นเหตุ เช่น ใช้เซลล์สมองและต่อมใต้สมอง ซ่อมแซมสมอง, ต่อมใต้สมองให้สามารถสร้างฮอร์โมน กระตุ้นรังไข่ หรืออัณฑะ ให้สร้างฮอร์โมนเพศ ใช้เซลล์รังไข่ หรืออัณฑะ ในการซ่อมอวัยวะเป้าหมายให้คงทำงานผลิตฮอร์โมนเพศได้ โดยไม่ก่อความเสี่ยง เหมือนกรณีใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์จากภายนอก
ต่อมใต้สมองยังสร้างฮอร์โมนกระตุ้น ต่อมไทรอยด์ พาราไทรอยด์ ต่อมหมวกไต อีกด้วย เซลล์ไพเนียล ซ่อมบำรุงต่อมไพเนียลให้สามารถหลั่งสารสุข ซีโรโทนิน และเมลาโทนิน ช่วยให้หลับลึกและยาวนานขึ้น ตื่นขึ้นด้วยความกระปรี้กระเปร่า
ผู้ที่มีอาการเสื่อมทางไต ก็สมควรได้เซลล์ซ่อมแซมไต ระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนล้า บกพร่อง เครียดก็ใช้ไทมัสและต่อมหมวกไต ควรลดเลี่ยงอาหารไขมันสูง ไขมันทรานส์ เกลือโซเดียม น้ำอัดลม เนื้อสัตว์ โปรตีนล้นเกิน เนื่องจากไตจะขับฟอสฟอรัสออกได้น้อยลง ทำให้อัตราส่วนฟอสฟอรัสสูง แคลเซียมต่ำ จึงต้องเพิ่มนมถั่วเหลือง พืชผัก ผลไม้ รักษาน้ำหนักตัว ไม่ให้อ้วน งดบุหรี่ แอลกอฮอล์
* สรุปแนวทางช่วยตนเอง ที่ทำได้
- ในเรื่องของอาหาร การออกกำลังกาย สมาธิ ลดเลี่ยงภาวะอ้วน อาหารพิษ รายละเอียดตามที่กล่าวแล้ว
- ใช้ชีวโมเลกุลเซลล์ซ่อมเซลล์
- เซลล์สมอง ต่อมใต้สมอง หมวกไต,ไทมัส และไพเนียล อย่างละ 1x2
- เซลล์รังไข่ในหญิง หรือ เซลล์อัณฑะสำหรับชาย 1x2
- เซลล์อวัยวะรวม 1x1
- น้ำมันปลา 1x3 (ระวังการใช้ร่วมกับแอสไพริน ไอบิวโปรเฟน หรือยาละลายลิ่มเลือดอื่นๆ)
- โคลีน + วิตามินบี
- โคคิวเทน + กรดไลโปอิค + กลูต้าไทโอน + วิตามินซี (อาจใช้แบบรวมกันในเม็ดเดียว)
- ดื่มน้ำละลายแมกนีเซียม แทนน้ำดื่มตลอดวัน โดยผสมน้ำเปล่าขนาดวันละ 30 ซีซีต่อกก.น้ำหนักตัว ดื่มครั้งละครึ่งแก้วจนหมด ยกเว้น 2 ชม.ก่อนเข้านอน
- ดื่มนมถั่วเหลือง เช้า + ก่อนนอน หรือกินข้าวกล้อง กล้วย ถั่ว ธัญพืช อาหารที่มีกากใยมากๆ เข้าไว้ (หากทำข้อนี้ ก็งดข้อ 6 ได้)
จะขอกล่าวบางปัญหาตามความน่าจะเป็น แบบไปๆ มาๆ ด้วยไม่แน่ว่าอะไรจะมาก่อนใคร
เบาหวาน
หลายท่านอาจดีใจว่ายังไม่เป็นเบาหวาน เพราะมดยังไม่ขึ้นปัสสาวะ แปลว่ายังไม่มีน้ำตาลในปัสสาวะ เพียงแค่อ้วน อยากกินของหวาน อ่อนเพลีย พอได้อมลูกอม หรือดื่มชาเขียวก็สดชื่นแล้ว กระหายน้ำ ฉี่บ่อยหน่อยก็พอทนได้ หากเปรียบโรคเบาหวาน ตั้งแต่ฟักตัวจนเป็นเบาหวานเต็มพิกัด เทียบกับการเดินทางจากกรุงเทพขึ้นเชียงใหม่ กว่าจะเจอว่า “เบา” นั้น “หวาน” ก็เฉกเช่นเดินทางถึงลำปางเข้าแล้ว ! ถ้าปล่อยถึงเชียงใหม่ คือ ต้องตัดนิ้วเท้าที่เน่าเปื่อย ติดเชื้อจากเบาหวานรักษาไม่หาย ถัดขึ้นไปแม่สายชายแดนเหนือก็คือไตวาย ต้องล้างไต 2 – 3 วันครั้ง !
จึงไม่ใช่รอให้เจอว่า เบา มีรสหวานค่อยมาเริ่มรู้รักษา ว่าเป็นเบาหวานเข้าแล้ว ! แล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปเจาะเลือด ตรวจว่าเป็นขั้นไหน เพราะอยู่ระดับใด อยากให้ปลอดภัย ก็ต้องทำตัวคล้ายกัน คือลดแป้ง น้ำตาล เพิ่มผักผลไม้ (หวานน้อย) และออกกำลังกาย !
สิ่งที่จะช่วยให้หวานใจกลับจากลำปาง เชียงใหม่ แม้กระทั่งอยู่แม่สายแล้ว กลับเข้ามากรุงเทพหรือปริมณฑลได้ คือ การซ่อมไต…จึงต้องคิดถึงชีวโมเลกุลเซลล์ไต อย่าลืมว่า ไม่มียาอะไรบำรุงไตได้ มีแต่เพิ่มภาระพิษให้ไต ยกเว้นชีวโมเลกุล กับหลินจือสกัด จากนั้นก็น่าจะพึ่งพา ห้าเสือมือปราบแสนสวย ทั้งกรดไลโปอิค โอพีซี โคคิวเทน วิตามินซี แล้วยังอีกโครเมียม สังกะสี ล้วนดีต่อเบาหวาน (แล้วก็อ่านรายละเอียดอื่นๆ ดูในบท “เบาหวาน”)
ความดันสูง
มากกว่า 1 ใน 5 ของผู้สูงวัย ไม่ใครก็ใครชี้หน้าได้เลยว่าเป็นโรคความดันเลือดสูง…ความจริงมันก็โยงใย (หรือไม่ก็ได้) กับเบาหวานเป็นส่วนใหญ่ คือเบาหวานที่ไม่รักษา ต้องจบที่ความดันสูงเป็นธรรมดา (ถ้าไม่ตายเสียก่อน)
แต่ความดันสูงอาจไม่ต้องเป็นเบาหวานก็ได้ ก็ยังไม่สาย หากตรวจเจอ…ใหม่ๆ คงต้องพึ่งแพทย์ให้จ่ายยา…ยามาตรฐานเบื้องต้นที่คุณหมอจ่าย ก็คือยาขับปัสสาวะ ซึ่งแก้เพียงปลายเหตุ คือ ขับให้น้ำออกไป เหลือน้อยลง ความดันก็น่าจะลด แต่พิษของยาขับปัสสาวะคือมักตามมาด้วยโรคซึมเศร้า ตับไตรับภาระขับสารพิษ
การแพทย์บูรณาการจึงแนะนำว่า เบื้องต้น งดเค็ม งดผงชูรส ทานผักผลไม้มากๆ กล้วยทุกชนิด โดยเฉพาะกล้วยหอม (มีโปแตสเซียมสูง) แล้วออกกำลังกาย (พอสมควร คือ 60% MHR) ไท้เก๊กก็ดี ฮูลาฮูบก็ได้ จากนั้นลองทานโคคิวเทนขนาด 30 มก. 1x3 ถึง 2x3 ร่วมกับน้ำแมกนีเซียม (จิบดื่มบ่อยๆ) เท่ากับดื่มน้ำวันละ 30 ซีซีต่อกก.น้ำหนักตัว
ถ้าใช้โคคิวเทนจากทีมห้าเสือ ก็ยิ่งดีมีโอพีซี และตัวช่วยสร้างผนังหลอดเลือด น้ำมันปลาก็ควรใช้เป็นอาหารมาตรฐาน เว้นแต่ต้องกินแอสไพรินหรือยาละลายลิ่มเลือด หรือช่วงก่อนหลังผ่าตัด (แต่ถ้าต้องเลือกระยะยาวระหว่างน้ำมันปลากับแอสไพริน…นักวิชาการแนะนำว่าเลือก น้ำมันปลา ดีว่าครับ) แค่นี้น่าจะเอาอยู่…
แต่ถ้าอยากให้ครบชุดทันใจ ก็ควรเพิ่มชีวโมเลกุล เม็ดสน (ต่อมไพเนียล) หมวกไต และองค์รวม ลองวัดความดันไว้ก่อน – หลังใช้ สารอาหารสัก 2 – 4 สัปดาห์ ถ้าความดันลด ตัวที่สมควรงดก็คือ ยาขับปัสสาวะ แล้วถ้าดูแลคุณภาพอาหาร เพิ่มผักผลไม้ ออกกำลังกายเคร่ง ครัดพอ…สารอาหารบริสุทธิ์ก็ลดได้…อาจถึงกับหายขาดกันเลย ! ได้คุณภาพชีวิตกลับคืนมา…ไม่มีวันสาย …อโรคยา มีค่าล้ำเลิศ…
ฟันผุ
ซ่อมก็แล้ว อุดก็แล้ว…เมื่อผุมากก็คงต้องถอนทิ้ง…ยอมรับสภาพฟันปลอม จึงสำคัญที่การป้องกันฟันผุแต่เนิ่นๆ ด้วยองค์ความรู้ 3 ปัจจัยก่อฟันผุ คือ 1. มีเชื้อแบคทีเรีย (มีแน่ !) 2. มีคราบอาหารติดเคลือบให้แบคทีเรียปล่อยเอนไซม์ย่อย ก็เลยย่อยสลายเคลือบฟันด้วย 3. ความดันในโพรงฟันลดพร่องลง เช่น ขาดธาตุแคลเซียม แมกนีเซียม ทั้งสามปัจจัยทำให้เชื้อโรคลามเข้าสู่โพรงฟัน…จากนั้นก็เอาไม่อยู่ การกลั้วกลอกฟัน (Oil pulling) จึงมีประโยชน์ในการปกป้องฟันแบบง่ายๆ แร่ธาตุแมกนีเซียมนั้นไม่ควรพลาด ขาดไปทั้งผุและพรุน มิใช่ได้แต่หาแคลเซียม
กระดูกพรุน
อันตรายมากๆ ในวัยทอง…เพราะหักแล้วติดยาก จะไม่ให้พรุนก็ต้องสะสมมาแต่เด็กให้มาก…ให้หนาแน่นเข้าไว้ โตแล้วคงได้แต่เสริมแคลเซียม ไม่ให้ร่างกายต้องไปดึงแร่ธาตุจากกระดูกและฟันออกมาใช้โดยไม่จำเป็น แต่เสริมแคลเซียมต้องระวัง…ไม่ใช่ยิ่งเข้มข้นหลายเท่ายิ่งดี ต้องมีแมกนีเซียมเป็นอัตราส่วน แคลเซียม : แมกนีเซียม 1:1 ถึง 2:1 ไม่ใช่เกิน 4:1 แมกนีเซียมมีอุดมสมบูรณ์ในกากน้ำตาล โชคดีที่ถั่วเหลือง กับจมูกข้าวสาลี ก็มีแมกนีเซียม
โชคดีที่เมืองไทยมีผักผลไม้ ธัญพืช อุดมแมกนีเซียม…แต่ก็ไม่ทุกคนที่จะได้ โชคไม่ดีที่เราพิสูจน์หาปริมาณแมกนีเซียมในร่างกายด้วยการตรวจเลือด หรือวิธีง่ายๆ ไม่ได้ เลยไม่รู้ตัวว่ากำลังขาดแมกนีเซียม เพราะแมกนีเซียมอยู่ในเนื้อเยื่อ ไขกระดูก ในเซลล์ ลอยในกระแสเลือดเพียงแค่ 1% ของมวลแมกนีเซียมในร่างกาย ในขณะที่ใช้สิ้นเปลืองวันละ 6 มก./กก.น้ำหนักตัว ถ้าไม่ได้จากอาหาร จึงต้องไม่ลืมน้ำแมกนีเซียม เพราะในนมวัวมีอัตราส่วน แคลเซียม : แมกนีเซียมสูงถึง 15 – 20 ต่อ 1 นมวัวก็ยังต้องเลือกแบบเลี้ยงธรรมชาติ ไม่ใช้ฮอร์โมนเร่งผลิตน้ำนม ไม่ใส่ปฏิชีวนะ…อันนี้ต้องดูเครดิตผู้ผลิตแล้วละครับ เช่นเดียวกับไก่และไข่ ก็ต้องเลี้ยงแบบธรรมชาติ ไก่ไม่อ้วนฉุ เนื้อเหลว แบบว่าฉีดฮอร์โมนเร่งโต แต่ถ้าจะไปหาไก่สมุนไพร กับไข่โอเมก้า3 ใช้วิธีเสริมโอเมก้า3 จากปลา หรือน้ำมันปลา ทอดด้วยน้ำมันรำข้าว น่าจะสะดวกและประหยัดกว่าครับ (อย่าถึงกับเกรียมควันฉุย)
กลับมาเรื่องนม…ถ้ารังเกียจเคซีน ดูดซึมยาก หรือแคลเซียมสูงไปในนม ก็คงต้องนิยมนมถั่วเหลือง…ทั้งแคลเซียมทั้งฮอร์โมนพืช การดูดซึมไปสร้างกระดูก อย่าลืมนมถั่วเหลืองที่ดีต้องบดทั้งผิวหุ้มเมล็ด…แล้วใส่ผิวที่บดลงไปด้วย ไม่ใช่กรองทิ้ง เพราะมีสารพืชดีๆ อยู่ที่ผิวหุ้มเมล็ด (เป็นตรรกะก็ว่าได้ ไม่ว่าข้าวกล้อง รำข้าว เมล็ดถั่ว ธัญพืช สารอาหารดีๆ มักอยู่ที่จมูกข้าว หรือผิวหุ้ม ส่วนเนื้อที่อร่อยนั้นไว้ล่อให้สัตว์กินเป็นอาหาร จะได้เป็นตัวช่วยแพร่พันธุ์) แต่ถั่วเหลืองก็มีสารต้านน้ำย่อยโปรตีน อาจย่อยช้า ถ้าได้ประจำ โดยเฉพาะแบบแช่เย็น ดังนั้นหากดื่มนมถั่วเหลืองแล้วบางคนท้องอืด ก็คงต้องงด หรือใช้วิธีต้มเดือดนานๆ เพื่อทำลายสารต้านน้ำย่อย (รายละเอียดกรุณาอ่านในบทกระดูกพรุน)
ปวดหลัง
ปวดหลังในผู้สูงอายุหนีไม่พ้นสาเหตุจากกระดูกพรุน เมื่อพรุนก็เปราะบาง ไปยกของหนัก หรือเข็นรถผิดท่าก็เกิดการทรุดตัวของข้อกระดูกสันหลัง ไปกดเส้นประสาทที่ออกจากข้อสันหลัง เจ็บปวด เมื่อปวดก็บรรเทาด้วยการงอตัว มิให้ข้อกระดูกกดทับเส้น ผลจากการงอตัว ทำให้กระดูกงุ้มเข้าหากัน...เอ็นยึดเหนี่ยวจึงรั้งไว้ จนยืดตรงใหม่ไม่ได้ เกิดสภาพหลังโกงงองุ้ม มากขึ้นมากขึ้น
หากแพทย์ตรวจพบอาการยุบตัวของข้อกระดูกสันหลังแต่เนิ่นๆ จะรีบสั่งให้ใส่โครงโลหะหรือไม้ไผ่คล้ายเสื้อเกราะ ประคองกระดูกสันหลังบริเวณนั้นให้ตั้งตรงเข้าไว้ มิให้ยุบตัวต่อ เวลานอนต้องนอนบนพื้นแข็ง ห้ามที่นอนยุบตัวได้ ให้ออกกำลังบริหารกล้ามเนื้อรอบข้าง ห้ามยก ดัน ของหนัก ให้โหนเชือกหรือราวสูง ช่วยยืดโครงกระดูก
แร่ธาตุบำรุงกระดูกตั้งแต่แคลเซียม แมกนีเซียม ฮอร์โมนพืช (นมถั่วเหลือง) โบรอน สังกะสี แมงกานีส ทองแดง วิตามินดี3 พร้อมการออกกำลังบริหารกระดูก ต้องทำครบชุดจึงจะได้ผล หากปล่อยปละละเลยตามสบาย ผลคือหลังโกงงองุ้ม ก้าวหน้ามากขึ้น มากขึ้น จนอาจเงยหน้าลำบาก อาการปวดหลัง จากหลังงองุ้ม คดโก่งแบบนี้ ที่นอนแม่เหล็กราคาเป็นแสนก็ช่วยไม่ได้ วัยทองจึงต้องรู้เพื่อดูแลตนเอง ด้วยความไม่ประมาท (ก็ต้องอ่านรายละเอียดเรื่องกระดูกพรุน)
ท้องผูก
ข้อวิตกของอาการท้องผูกมิใช่เพียงแน่น อึดอัด ผายลม หรือริดสีดวงทวารจากการเบ่งถ่าย แต่เป็นเรื่องวิกฤติชักนำสู่มะเร็งลำไส้ใหญ่ เนื่องจากเศษอาหารที่หมักหมมในลำไส้ ไม่ได้ถูกขับออก จะเน่าสลาย ก่อสารพิษ อนุมูลอิสระ เพิ่มขึ้นมากมายตลอดเวลา สารพิษเหล่านี้จะถูกดูดซึมผ่านผนังลำไส้เข้าสู่ร่างกาย อีกส่วนก็ก่อระคายเคืองต่อผนังลำไส้ กลายเป็นสารก่อมะเร็ง อุจจาระที่ดีจึงต้องเป็นสีน้ำตาล แท่งยาวต่อกัน ลอยน้ำ...
การที่จะให้อุจจาระดี ถ่ายคล่อง นั้นก็ต้องมีเทคนิค... ตั้งแต่ดื่มน้ำให้มากพอ คือดื่มครั้งละครึ่งแก้วทุก 1 – 2 ชั่วโมง...ตกวันละ 30 ซีซี ต่อกก.น้ำหนักตัว ยกเว้น 2 ชั่วโมงก่อนเข้านอน อาหารกากใย เน้นข้าวกล้อง นมถั่วเหลือง งาดำป่น ผัก ผลไม้ โดยเฉพาะห้าสุดยอดผลไม้ ได้แก่ สับปะรด ส้มโอ มะละกอ แอปเปิ้ล ฝรั่ง อีกทั้งอาหารพรีไบโอติกชั้นดี คือ กล้วยน้ำว้า (หรือกล้วยทุกชนิด) จมูกข้าวสาลี งาดำป่น ฯลฯ ลดอาหารเนื้อสัตว์ แป้ง น้ำตาล ขนมหวาน ออกกำลังกายพอสบายๆ ช่วยทำให้ลำไส้เคลื่อนไหว ขยับขยายเพิ่มแรงขับถ่าย นั่งถ่ายเป็นเวลาทุกเช้า ซึ่งท่านั่งที่ถูกต้องตามตำราคือ นั่งยอง โน้มตัวไปข้างหน้า เพื่อให้ลำไส้ใหญ่ตั้งตรง กากอาหารไหลลงสะดวกด้วย ไม่ต้องเบ่งมาก หากไม่ออกจริงอย่าทิ้งค้างลำไส้ไว้…สวนกาแฟ อาจต้องเลือก
สายตาสั้น ฝ้าฟาง
อันนี้ต้องป้องกันตั้งแต่วัยหนุ่มสาว เช่น สวมแว่นกันแดดป้องกันรังสียูวีทำร้ายเลนส์ตา และจอประสาทตา การแพทย์มีข้อมูลว่า การได้โอเมก้า3 น้ำมันปลาแต่เนิ่นๆ ช่วยป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อมได้ รวมถึงแร่ธาตุสังกะสี วิตามินซี กลูต้าไทโอน ถ้าสังเกตเห็นขอบตาดำมีวงขาวๆ แปลว่าความเสื่อมของโปรตีนรอบดวงตา จากน้ำตาลที่เรียกกลัยเคชั่น ก่อตัวมากแล้ว ทำให้ประสิทธิภาพการมองเห็น (Visual Acuity) ลดลงไป ไม่มียาใดรักษาได้ ยกเว้น…คาร์โนซีน ก็คงต้องหายาหยอดตาที่มีคาร์โนซีนมาใช้
…แล้วจะทำอย่างไร ในเมื่อเมืองไทยไม่มีเป็นอาหารเสริม (เอ วัง ก็จึงต้องพึ่งพาการสั่งซื้อทางอินเตอร์เนท เนื่องจากอเมริกาพร้อมขายยาหยอดตานี้ในรูปอาหารเสริม โดยเลือกขนส่งที่รับประกันให้ดีๆ ละกัน!) ต้อเนื้อและต้อกระจกต้องยกให้การป้องกันคือ ใส่แว่นกันลมกันแดด ก็ไม่เกิดปัญหาในวัยนี้
หูตึง
ปกติไม่ควรตึงหรือหย่อนการได้ยิน ถ้าไม่ถูกทำร้ายสะสมมา สิ่งทำลายประสาทหู คือ ความดังเกินของเสียงที่ได้รับตั้งแต่วัยหนุ่มสาว การใช้หูฟังสอดเข้า ซาวด์อเบาท์ ที่เปิดดังเกินไปย่อมทำลายแก้วหู ประสาทรับการได้ยิน ทีละเล็กละน้อย ค่อยๆ สะสมความสูญเสีย ! การเปิดดนตรีเสียงดังในสถานบันเทิง หรืองานวัด งานบ้านที่ผู้โง่เขลาเอาแต่มันส์เข้าว่า พาให้ผู้ร่วมในงานแก้วหูค่อยๆ ดับไปๆ …นานๆ เข้าก็ต้องเพิ่มความดัง เพราะระดับปกติไม่ได้ยินเสียแล้ว แสดงว่าในแต่ละงานไม่มีผู้รู้ หรือรู้แต่ไม่กล้าแสดงออกทั้งที่เป็นสิ่งดี…การกลัวที่จะทำดี น่าจะเป็นความชั่วร้ายโง่งมหนึ่ง ! อย่างน้อย คือ แนะนำ…นำแล้วไม่ทำจึงค่อยปล่อยวาง… ใครที่ตึงแล้ว คงต้องพึ่งเครื่องช่วยการได้ยินละครับ !
นอนไม่หลับ
นี้รวมถึงหลับยาก หรือหลับไม่ดี ก็ต้องอ่านบทที่เกี่ยวกับเครียด…นอนไม่หลับ ก็ต้องเสียดายสารอาหารเมลาโทนินที่ถูกดึงเข้าไปขึ้นทะเบียนยา (เฉพาะในเมืองไทย) จึงปิดกั้นประโยชน์สาธารณะไปอย่างน่าเรียกร้องสิทธิ์การมีคุณภาพชีวิตที่ดีกลับคืนมา ครั้นจะไปพึ่งพาลูกหม่อน หรือสาหร่ายสไปรูลินา ก็ต้องกินเป็นชามๆ…น้ำมันรำข้าวก็มีเมลาโทนิน แต่กินมากไม่ไหว…นมวัวรีดเช้ามืดก่อนสว่างเขาว่ามีเมลาโทนินตกค้าง พอได้อาศัย!…ถ้าไม่รังเกียจข้ออื่นๆ
นอนกรน
ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการนอนไม่หลับ ที่กรนเพราะ เพดานอ่อนในช่องปากหย่อนยานตกลงมาปิดกั้นทางเดินหายใจในขณะหลับ การแก้เบื้องแรกคือ ใช้หมอนหนุนศีรษะให้ลำคอไม่ตกเวลานอนหงาย ปรับท่าเป็นนอนตะแคงมากขึ้น ถ้าอ้วนจนคางย้อย ลดน้ำหนักมากหน่อย จะค่อยดีขึ้น…ก็ต้องออกกำลังกายละครับ…ตอนนี้ฮูลาฮูบกลับมาเป็นกระแส ข่าวว่าถ้าใช้ขนาดใหญ่พอหนักหน่อยก็ช่วยเผาผลาญพอๆ กับการวิ่ง ดีกว่าตรงไม่ทำร้ายข้อเข่า กระดูกสันหลังแข็งแรงขึ้นอีกด้วย ถ้าเทคนิคเบื้องต้นไม่ผ่าน คือ ยังกรนไม่หยุด ก็เป็นเรื่องใหญ่
ทางเลือกหนึ่งคือการเอาเพดานอ่อนออกไป มีหลายวิธีตั้งแต่ การผ่าตัด การจี้ไฟฟ้า คลื่นความถี่สูง ฉีดยาชา แต่ละวิธีล้วนต้องเจ็บปวดสาหัส ยกเว้นดมยาสลบไปเลย ซึ่งก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปอีกแบบ ที่สำคัญคือหายไปสักพัก เพดานอ่อนที่ถูกตัดไป ปรับตัวหย่อนยานออกมาใหม่ได้เสมอ ทำให้มักต้องผ่าตัดซ้ำ อีกวิธีคือใช้เครื่องช่วยหายใจ สอดใส่ในปากเวลานอน เป็นแบบอัดอากาศเข้าไว้ แทบไม่ต้องหายใจเอง บางคนก็ได้ผลดีหากปรับตัวได้ แต่บางรายก็รำคาญ เหมือนนอนกอดตุ๊กตาหุ่นยนต์ไว้ข้างกาย แถมมีอะไรมาถ่างปากถ่างคอตลอดคืน ทำใจไม่ได้ต้องถอดทิ้งก็มี…ที่สำคัญคือ ราคาเป็นแสน ! หันมาออกกำลังกาย บริหารกล้ามเนื้อเข้าไว้ จำกัดอาหารอย่าให้อ้วน ดีกว่าครับ !
สมองเสื่อม
ความรู้ใหม่ คือ สมองไม่ได้เสื่อมไปตามอายุ ตรงข้ามกลับพัฒนาเซลล์สมองแบ่งตัวเพิ่มได้อีก หากมีการทะนุบำรุง ฝึกซ้อม ออกกำลังบริหารสมองอยู่สม่ำเสมอ คำหวังดีที่ว่า “พ่อแม่ แก่แล้ว ไม่ต้องทำอะไร” จึงเป็นการทำร้ายผู้อาวุโส แบบหวังดีแต่ประสงค์ร้าย ไปอย่างไม่น่าเชื่อ…แต่คงให้อภัยได้ ! ลองสังเกตคนแก่ที่ขยันขันแข็ง ช่วยคิดช่วยทำ ขยันแนะนำ ประเทศชาติ (แม้จะไม่มีใครฟัง) มักจะมีสมองความคิดความอ่านจดจำเป็นเยี่ยม น่าจะเป็นผลจากการฝึก คิด ลับสมอง ลองปัญญาอยู่สม่ำเสมอ ก็เหมือนการออกกำลังกายกล้ามเนื้อ ในผู้สูงอายุ ถ้าหมั่นออกกำลังกล้ามเนื้อก็ไม่ลีบ แต่ก็อย่ามองข้ามอาหาร…ลองสังเกตผู้อาวุโสเหล่านี้มักมีความรู้เรื่องอาหาร 5 หมู่ ก็ห้าหมู่ถึงน้ำถึงเนื้อไม่ใช่งูๆ ปลาๆ และเพราะกำลังซื้อ เข้าถึงแหล่งอาหารปลอดสารพิษ รู้จักเลือกกินเลือกใช้ แล้วถ้าไม่สะดวก อาหารบริสุทธิ์ก็เป็นตัวเลือก
ความรู้ใหม่ คือ น้ำมันมะพร้าว VCO น่าจะเป็นสุดยอดอาหารพื้นฐานบำรุงสมอง ไม่ว่าเชิงบำรุงป้องกัน หรือแม้กระทั่งแก้โรคสมองเสื่อม โดยกลไกการเปลี่ยนไขมันอิ่มตัวโมเลกุลไม่ยาว (MCT) ไปเป็นคีโตน อีกทั้งตัว MCT เอง ก็ดูดซึมเข้าเซลล์สมองและร่างกายได้ง่าย โดยไม่ต้องอาศัยอินซูลิน ผู้ป่วยเบาหวาน และสมองเสื่อม อัมพฤกษ์ อัมพาต จึงไม่ควรพลาดที่จะพึ่งพาเป็นเบื้องต้น ถ้าไม่แน่ใจก็ทดสอบสมรรถภาพสมอง ก่อน หลังใช้ สัก 7 – 30 วัน ดูกันสักตั้งก็ไม่เสียหาย แล้วจะไม่ให้กล่าวถึง น้ำมันปลา น้ำมันรำข้าว ห้าเสือทีมต้านอนุมูลอิสระ ก็ไม่เข้าที ส่วนใหญ่การทำศึกต้องมาเป็นกองทัพ ทีมงานแข็งแกร่ง อย่าให้ใคร สารใด สารเดียวเที่ยวครอบจักรวาล อีกกลุ่มที่ต้องเอ่ยอ้าง คือ ชีวโมเลกุล เซลลซ่อมเซลล์ ถ้ามีเงินก็ใช้เถอะครับ ให้คนอื่นรวยบ้างปะไรไป…ได้บุญนะ ! ดีกว่าแอนตี้ตะพึดตะพือ ถือแต่อัตตา !
ซึมเศร้า
อันตราย…เพราะมีความเป็นไปได้สูง จากการที่เคยมีตำแหน่งหน้าที่การงาน ผู้คนนับหน้าถือตา มีภาระกิจชุกชุม กลับเปลี่ยนเป็นว่างงาน ว่างจากความรับผิดชอบ หากท่านไม่สามารถเข้าถึงหรือเพลิดเพลินกับการฝึกสมาธิปฏิบัติธรรม ก็ขอให้หากิจกรรม หรืองานอดิเรก ทำให้เพลิดเพลินเข้าไว้ จะท่องเที่ยว เข้างานสังคม กิจกรรมที่ไม่ต้องรับผิดชอบมากนัก หากต้องอยู่คนเดียว แล้วว้าวุ่น ฟุ้งซ่านแล้วเงียบเหงา …ระวังว่าโรคซึมเศร้า อาจกำลังมาเยือน ! แล้วก็อย่าเผลอไผลรีบกินยาแก้ซึมเศร้า หรือยาบำรุงประสาท ประเภทออกฤทธิ์ชะงัดทันตาเห็น เพราะอาจตกเป็นเหยื่อยาเข้า แม้แต่ยาดีที่หมอใช้รักษาซึมเศร้า เอาเข้าจริงก็มักติดยา ต้องเพิ่มขนาด ขาดไม่ได้ สุดท้ายชวนให้ฆ่าตัวตาย ! หรือไม่ตาย ตับ หรือไต ก็วาย ขึ้นมาก่อนเวลาอันควร แล้วใช้อะไร ก็หนีไม่พ้นอาหารธรรมชาติ พืชผัก ผลไม้ สมุนไพร (ก็ต้องระวัง)
- น้ำมันปลา โอเมก้า3 จึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า !
- โคลีน วิตามินบี จึงมีข้อบ่งใช้!…อย่าให้พร่องวิตามินบีทั้งหลาย
- อย่าให้ขาดแร่ธาตุแมกนีเซียม !
- ชีวโมเลกุล เซลล์สมอง ต่อมไพเนียล และองค์รวม ก็ควรลงทุน !
- เน้นอาหารผักผลไม้ (หวานน้อย) ลดของหวาน แป้ง ข้าวขาว
- ออกกำลังกายพอเหมาะ …และประเภทที่เหมาะกับวัยนี้ น่าจะเป็นการรำไท้เก๊ก…ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ยอมรับว่าเป็นหนึ่งในระดับโลก
หากมีเรี่ยวแรงหรือเจ้าเนื้อ…ฮูลาฮูบก็ช่วยเผาผลาญได้พอๆ กะวิ่งทางไกล ทั้งยังปลอดภัยจากการบาดเจ็บข้อเข่า ข้อเท้า ทั้งหลาย หากไม่มีพื้นที่ ซิทอัพก็ยังได้ แต่ในความเป็นจริง…ทำๆ ไปมักเบื่อหน่าย เคล็ดลับ คือ เข้ากลุ่มออกกำลังกาย ! หรือทำงานเบาๆ แบบเห็นผล เช่น งานสวน งานไร่…แบบที่ทำแล้วเพลิน และภูมิใจในผลงาน เข้านอนก่อน 4 ทุ่ม ตอนนอนขอให้ปิดไฟให้มืดมิด…ก้อแสงสว่างเป็นวิกฤติปัจจัยหนึ่งซึ่งโรคซึมเศร้า !…อีกมะเร็งเต้านม ! หากปวดเมื่อย…กดจุด ฝังเข็ม นวดฝ่าเท้า เข้าสปา น่าจะดี …หรือไปให้สาวๆ นวดหน้า ก็ยิ่งเข้าที !! ฮ่า ฮ่า !
ส่งท้ายวัยทองต้องรู้ …อีกที
สรุปรวมสำหรับวัยทองต้องรู้ ไม่ว่าท่านจะป่วยอยู่หรือยังไม่ป่วย ปัจจัยสำคัญแห่งการดำรงไว้ซึ่งคำว่า “อโรคยา มีค่าล้ำเลิศ” คือภูมิชีวิตทั้ง 3 ตั้งแต่
- หนึ่ง การออกกำลังกาย ซึ่งควรทำสม่ำเสมอ อย่าหักโหม เช่น การรำไทเก๊ก หรือเล่นฮูลาฮูบ พอเหนื่อยตามหลัก 60% MHR
- สองคือ การทำสมาธิ ปฏิบัติในทางสายกลาง ไม่รีบร้อน เคร่งเครียด ขณะที่ไม่เฉื่อยชา แบบว่า ปล่อยวาง มิใช่ปล่อยปละละเลย…พอเพียง มิใช่ไม่ขวนขวาย…ตามสบายไม่ใช่อะไรก็ได้
- สามนั้น คือ เรื่องอาหาร เป็นปัจจัยนำมาซึ่งความเจ็บป่วย หลักยึดง่ายๆ คือต้อง “กินเป็น ดื่มเป็น”
ดื่มเป็น คือ ดื่มน้ำสะอาด ให้เพียงพอในแต่ละวัน รวมแล้วให้ได้ 30 ซีซี คูณน้ำหนักตัว โดยแบ่งดื่มครั้งละครึ่งแก้ว ทุก 1 – 2 ชม. ไม่ใช่รวดเดียว 2 – 3 แก้ว ยกเว้นตอนตื่นนอน กับกระหายหลังออกกำลังกาย ไม่ดื่มก่อนหลังอาหาร หรือขณะกินอาหารมากไป แอลกอฮอล์ เหล้า เบียร์ ก็ดื่มได้พอประมาณ แบบว่าให้เลือดลมสูบฉีด ซู่ซา มิใช่มุ่งให้เมาดับทุกข์ ชานั้นดี แต่มิใช่ที่ขายสำเร็จรูปพร้อมดื่ม เพราะสารออกฤทธิ์สำคัญ เข้มข้น มีอยู่ในชาที่ชงร้อนๆ ใหม่ๆ เท่านั้น หากมักง่ายหรือหลงกระแสมีหวังได้แถมน้ำตาล สี กลิ่น สารพัดสารแต่งรส กาแฟ 1 – 2 ถ้วย น่าจะโอเค เพราะมันคงอดไม่ไหว นม นั้นคงแล้วแต่ความเชื่อ และความสามารถเฉพาะตัว โปรตีนที่ดีในนมน่าจะเป็นเวย์โปรตีน แต่ที่เหนียวเป็นกาวเคลือบผิวลำไส้ เป็นเคซีน แล้วยังมีงานวิจัยที่บอกว่าไขมันจากนมเป็นปัจจัยก่อมะเร็งทั้งหลาย เมื่อเทียบกับผู้ไม่ดื่มนม หรือใช้นมแบบพร่องไขมัน แต่เมื่อต้องการความอร่อย หวานมัน ก็คงต้องเป็นนมวัวธรรมชาติ ที่เลี้ยงและรีดถูกหลัก มิได้ใช้ฮอร์โมนยาปฏิชีวนะใดๆ
กินเป็น ง่ายๆ ก็ทำให้ห่างไกลโรค ตั้งแต่เลือกประเภทอาหาร ลดเนื้อสัตว์ เพิ่มผัก ผลไม้ โดยเฉพาะ ห้าสุดยอดผลไม้ ผักนั้นยากหน่อยตรงที่การสรรหาชนิดปลอดสารพิษ หรือฮอร์โมนเร่งโต ส่วนประเภทไฮโดรโฟนิกส์ ปลูกโดยไม่ใช้ดิน ก็อาจมีปัญหาขาดเกิน แร่ธาตุที่ใส่เติมลงไป หากหวังพึ่งกากใยเป็นพรีไบโอติกก็น่าจะโอเค นอกจากผักผลไม้แล้ว ถั่ว ธัญพืช ทั้งหลาย ก็เป็นสิ่งมีประโยชน์ ถ้าได้ครบถ้วน ก็แทบไม่ต้องพึ่งพาอาหารเสริม
น้ำมันที่ใช้ปรุงอาหารก็สำคัญยิ่งยวด และมักถูกมองข้าม น้ำมันพืชชั้นดี เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันปอ ทั้งหลายล้วนดีเฉพาะการปรุงเย็น คือ ใช้ราดหน้าอาหารหรือสลัด แต่ถ้าปรุงร้อนก็จะเปลี่ยนเป็นอิ่มตัวสายโมเลกุลยาวที่แข็งกระด้าง หรือเป็นไขมันทรานส์กันไปเลย ดูเหมือนที่พอทนร้อนได้ (ระดับหนึ่ง) คือน้ำมันรำข้าว ซึ่งมีแกมมาออไรซานอลเป็นของวิเศษ อีกทั้งสูตรอัตราส่วนโอเมก้า3 ต่อ6 ต่อโอเมก้า9 ของน้ำมันรำข้าว ยังเข้ามาตรฐานที่ WHO แนะนำ คือ 1:2:1 หากอยากได้กลิ่นหอมคลาสสิคแบบโบราณก็กลับไปใช้น้ำมันมะพร้าว VCO น้ำมันจากผลปาล์ม ที่ขายกันดาษดื่น ก็ดีสำหรับปรุงเย็นเท่านั้น หากปรุงร้อน ทอดซ้ำ ใช้น้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันรำข้าวดีกว่า ก็ที่ผู้ป่วยสะเก็ดเงินเดือดร้อนก็คงจากการเลือกน้ำมันในร้านอาหารไม่ได้ เพราะใช้แต่น้ำมันปาล์มหรือ น้ำมันพืช โอเมก้า6 สูงทั้งหลาย
ข้าวที่วัยทองต้องเลือก คือ ข้าวกล้อง…เพียงข้าวกล้องก็ตอบสนองความต้องการวิตามินทั้งหลายที่ร่างกายจำเป็นใช้ตั้งแต่วิตามินบี อี ที่สำคัญคือกากใย อาหารกากใย พรีไบโอติกที่ดีนอกจากผักผลไม้ ข้าวกล้อง ที่หาได้ง่ายคือ กล้วยนั่นเอง…อาจมีคำกล่าวที่ว่า กล้วยวันละ 2 ผล ห่างไกลโรค กล้วยจึงมาในชื่อชั้นใหม่ เก๋ เท่ ชั้นดี…”พรีไบโอติก”
หากธาตุร้อน ท้องผูก แน่น อืด เฟ้อบ่อยๆ มีซาง ร้อนใน กลิ่นปาก แสดงว่าอาหารไม่ย่อย ไม่ว่าดื่มน้ำไม่เป็น ลืมเน้นหนักมื้อเช้า เอาแต่กินเนื้อสัตว์ จัดกาแฟแต่เช้า (ก่อนอาหาร) ก็คงต้องนึกถึงอาหารโปรไบโอติก พวกแบคทีเรียช่วยย่อย คอยควบคุมมลพิษในลำไส้ ได้แก่ นมเปรี้ยวทั้งหลาย
ฟันผุ กลิ่นปาก ก็ทำออยพูลลิ่งหลังอาหาร การจัดการกับประเภท และมื้ออาหารก็น่าจะเอาอยู่ แต่หากมีเงินเหลือเฟือจึงค่อยไปเป็นเหยื่อคนขาย “คลอโรฟิล” (รึว่า “ออยพูลลิ่ง” กินหัวคิวก่อน) นมถั่วเหลือง นั้นก็น่าจะมีคุณมากกว่าโทษ แม้จะมีสารสกัดน้ำย่อยโปรตีน แต่ความร้อนก็ช่วยสลายไป การชงดื่มอุ่นๆ ตอนเช้า น่าจะดีกว่านม หรือกาแฟ แต่ถ้าสังเกตได้ว่าดื่มแล้วท้องอืด เฟ้อ ก็งดได้ โดยเฉพาะแบบแช่เย็น ก็ต้องไปหาสารพืชไฟโตเอสโตรเจนจากแหล่งอื่นต่อไป
ระยะฝนตก อากาศเปลี่ยนแปร ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ระบาด การกินน้ำมันมะพร้าว VCO เช้าละ 2 ช้อนโต๊ะ น่าจะเป็นทางเลือก ที่ฉลาดกว่านั้นคือ เอามาทำกะทิชงกาแฟซะเลย เพราะกรดลอริคในน้ำมันมะพร้าว เมื่อเข้ากระแสเลือดหรือกระเพาะ ลำไส้ก็พร้อมสลายผนังเซลล์ของเชื้อไวรัสไข้หวัดทั้งหลาย เป็นการตัดไฟแต่ต้นลม จึงผู้ที่บริโภคน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำ มีการออกกำลังกาย นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ ย่อมหลีกไกลโรคภัยพื้นๆ ทั้งหลายที่ใครๆ มักประสบ
การวินิจฉัยโรคเป็นสุดยอดวิชาแพทย์ ส่วนใหญ่เราจะให้เป็นภาระของแพทย์แผนหลัก แต่บางประเด็น เช่น ตำแหน่ง เส้นทางลมปราณ พอกดแล้วเจ็บ สัมพันธ์กับประวัติ ก็อาจวินิจฉัยได้โดยแพทย์แผนไทย ซึ่งหากรักษาหรือปฏิบัติตามแล้วได้ผล ก็ควรเป็นอีกทางเลือกของผู้มีปัญญามากกว่าบัตรทอง
หากผู้รักษามีความรอบรู้ ทั้งยาแผนปัจจุบัน สมุนไพร ยาแผนโบราณ แผนจีน กดจุด ฝังเข็ม อาหารธรรมชาติ ตลอดจนอาหารเสริม นำมาผสมผสานกันแก้ปัญหา นั่นคือ สมญา “การแพทย์บูรณาการ” สำหรับผู้ที่ยังปล่อยวางในสังขารมิได้ อยากกระชากวัย หรือชะลอไว้ให้เนิ่นนาน ขอบอกว่าอย่าใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์ ไม่ว่ากิน ฉีด หรือทา เป็นอันขาด เพราะนอกจากแพงหูดับ (ฉี่ไม่ทัน !) แล้วยังติดยา เลิกปุ๊บเหี่ยวปั๊บ เพราะต่อมใต้สมอง หมวกไต รังไข่ อาจพิการง่อยเปลี้ยไปจากความที่ไม่ได้ใช้งาน ที่สำคัญกว่านั้นคือการได้ฮอร์โมนสังเคราะห์ติดต่อกันนานๆ ยังเป็นสิ่งเชื้อเชิญมะเร็งทั้งหลายด้วย…
ชีวโมเลกุลเซลล์ซ่อมเซลล์ดูเหมือนจะเป็นคำตอบ สำหรับผู้ก้าวข้ามบัตรทอง บัตรสวัสดิการ บัตรประกันต่างๆ ได้แล้ว ย่างถึงยามนี้แล้ว อย่าลืมเจริญสติ ปฏิบัติธรรมให้ใจผ่องแผ้ว ฝึกเข้าสมาธิ ปล่อยใจ จิตว่าง ดีกว่าครับ มิฉะนั้นจะเสียชาติเกิด เพราะโอกาสดีเลิศที่จะได้เกิดเป็นคนภายใต้ร่มพระพุทธศาสนา พูดจาสื่อความกันได้ในเรื่องนิพพาน ถ้าไม่ประสานประเทืองปัญญากันในชีวิตนี้ โอกาสดีๆ อาจไม่มีอีกแล้ว