ที่มาของโรคอ้วน เกิดจากชีววิถีที่กินมากเกินความต้องการใช้ของร่างกาย ขาดการออกกำลังกาย เกิดการสะสมไขมัน มีสภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง ซึ่งโรคที่ติดตามมาหลังจากอ้วน คือ เบาหวาน และความดันสูง นำไปสู่โรคหัวใจหลอดเลือด แผลเรื้อรัง อัมพาต จนถึงมะเร็ง
เคล็ดลับไม่ให้อ้วน มี 13 หัวข้อ ใช้อักษรนำแต่ละข้อต่อกันได้เป็นสูตร SLENDER FASTER ดังนี้
- Set Attitude ตั้งใจมั่น มุ่งเป้าหมายให้ความสำคัญที่จะเอาชนะความอ้วนให้ได้ ด้วยเหตุผลที่มีน้ำหนัก ยิ่งกว่าการทำให้ดูดี…ให้มีคนรัก…ให้สวมเสื้อผ้าปกติได้…หรือเพื่อจะออกงานสังคมชั่วคราว แต่น่าจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เช่น ตระหนักถึงโรคที่ติดตามจากผลแห่งความอ้วนเรื้อรัง คือ เบาหวาน ความดันสูง โรคหัวใจหลอดเลือด ข้ออักเสบเสื่อมสภาพ ซึ่งจะตามมาด้วยโรคไต สมองเสื่อม อัมพฤกษ์ อัมพาต การสูญเสียอวัยวะจากการติดเชื้ออักเสบเรื้อรัง ต้องล้างไต ตลอดจนเป็นที่มาของมะเร็งลำไส้ เต้านม ต่อมลูกหมาก รังไข่ ฯลฯ เป็นการช่วยให้ไม่ปล่อยตัวปล่อยใจหวนกลับไปอ้วนอีก หลังจากลดไขมันส่วนเกินได้แล้ว
- Low carb and less calories เป็นสาระสำคัญยิ่งยวดของการลดความอ้วน
- Low carb menu จำกัดอาหารคาร์โบไฮเดรต ให้กินน้อยที่สุด กล่าวคืออะไรที่มีแป้ง หรือน้ำตาลมากให้งด โดยกินผักผลไม้หวานน้อยแทน พวกข้าว หมายรวมถึง ข้าวเหนียว ข้าวมัน ข้าวหมาก ข้าวแช่ ข้าวเกรียบ ข้าวตัง ขนมปังสังขยา ปาท่องโก๋ ก๋วยเตี๋ยว โรตี บะหมี่ คุกกี้ โดนัท มันฝรั่ง กาแฟ ชานม น้ำอัดลม ขนมขบเคี้ยว ผลไม้หวาน ขนมหวาน หวานเย็น ไอศกรีม…
- Less calories ลดปริมาณในแต่ละมื้อลง 10% (อดทน) อย่าลดมากกว่านี้ เพราะร่างกายอาจแปลความหมายผิดพลาด คือ
- คิดว่า อดอยาก เนื่องจากอดมื้อกินมื้อ หรือรู้สึกได้ถึงความขาดแคลนในแต่ละมื้อ จะหาโอกาสกิน (หิว) ชดเชยบ่อยหรือมากขึ้น ซึ่งหากยังมีกิจกรรมปกติ ผลคือ อ้วนขึ้น (Yo–Yo dieting)
- จำศีล ถ้าอดแบบอดมื้อกินมื้อ หรือรู้สึกขาดแคลนในแต่ละมื้อ และมีกิจกรรม (ออกกำลังกาย) น้อย ร่างกายจะปรับเข้าสู่สภาวะ “จำศีล” ทำนองกบจำศีล หรือหมีขั้วโลกจำศีล อัตราเผาผลาญ (matabolism) จะปรับตัวต่ำลงโดยอัตโนมัติ ผลคือ ไม่มีการใช้ไขมัน พอพ้นระยะอดจะกินมากๆ ทดแทน ผลสุดท้าย คือ อ้วนขึ้น
- ถ้าอดแบบใจแข็ง คือ กินปกติ แล้วล้วงคอออก ถ่ายท้องออก พร้อมกับมีกิจกรรมปกติ ยกตัวอย่าง เช่นในกลุ่มดารา นักแสดงอาชีพที่กลัวอ้วน ทำไปนานๆ เข้า ร่างกายจะสับสน โดยแรกๆ อาจปรับตัวกินมากขึ้น แต่เมื่อถูกกำจัดอาหารออกไปชัดเจน จะกลายเป็นไม่ตอบสนองต่อกลไกปกติ เช่น ไม่ย่อย ไม่ดูดซึม ไม่นำสารอาหารไปใช้งาน g เข้าสู่โรค “ประสาท เบื่ออาหาร” (Anorexia nervosa ) g ตาย\ เทคนิคการอดอาหารที่ถูกต้อง คือ กินน้อยลง ให้รู้สึกอิ่ม ไม่ใช่อิ่มแปล้ และไม่ใช่อดอยาก พร้อมมีกิจกรรมปกติ ร่างกายจะตอบรับโดยนำพลังงาน (ไขมัน) ส่วนเกิน ที่สะสมไว้ออกมาใช้ยามขาดแคลน (เพียงแต่ถึงเวลากิน เราไม่นำเข้ามากจนเกิดการสะสมไขมันเพิ่ม) ซึ่งสภาวะที่อิ่ม ร่างกายจะหลั่งสารอินซูลิน นำกลูโคสไปใช้ ครั้นถึงสภาวะอดตามปกติ จะมีการหลั่งฮอร์โมนกลูคากอน ออกมาดึงไขมันในเซลล์ออกไปใช้โดยอัตโนมัติ วิธีกำหนดปริมาณง่ายๆ คือ ตักข้าวและกับใส่จาน (แบบบุพเฟต์) เพื่อกะปริมาณได้คร่าวๆ และจำกัดโปรตีนไว้ไม่เกินวันละ 60 กรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่มาจากเนื้อสัตว์ราว 200 กรัม (ประมาณ 2 ฝ่ามือ) อันเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายปกติ กลุ่มอาหารที่ไม่จำกัด คือ ผักผลไม้น้ำตาลต่ำทั้งหลาย
- Exercise เป็นปัจจัยสำคัญในการนำพลังงานส่วนเกินไปใช้ หลักการออกกำลังกาย คือ 60% MHR (ดู “คำศัพท์ในแวดวง”) โดยออกกำลังกายทุกวัน หรืออย่างน้อยวันเว้นวัน คราวละไม่ต่ำกว่า 30 นาที โดยเฉพาะการออกกำลังกายเล็กน้อย (ไม่เกิน 60% MHR) หลังมื้ออาหารใหม่ๆ มีผลต่อการใช้กลูโคสที่กำลังล่องลอยในกระแสเลือดให้เข้าสู่เซลล์ g นำไปใช้ให้หมด (จากนั้นกลูคากอนจะเริ่มทำงาน ดึงไขมันออกมาใช้) ดูเหมือนว่า การออกกำลังกายหลังมื้ออาหารยังทำให้เลือดไปเลี้ยงกระเพาะลดลงgกระเพาะบีบตัวลดลงgการเคลื่อนตัวของอาหารผ่านกระเพาะชะลอลง ทำให้กลูโคสผ่านเข้าลำไส้เล็กช้าลง จึงดูดซึมเข้ากระแสเลือด อย่างค่อยเป็นค่อยไป การออกกำลังกายสม่ำเสมอยังมีผลให้อัตราเผาผลาญของร่างกาย (ทั้งยามหลับหรือตื่น) ทรงตัวในระดับสูงด้วย
- Nutrition สารอาหารก็เป็นสิ่งสำคัญในกระบวนการข่มความหิว, ลดปริมาณที่อยากอาหาร, สกัดการย่อยแป้งเป็นกลูโคส, ขวางการดูดซึมของน้ำตาล ไปจนถึงสกัดการแปลงกลูโคสเป็นไขมันสะสม เพิ่มการนำกลูโคสเข้าสู่เซลล์ เสริมประสิทธิภาพเผาไหม้ของวงจรพลังงานในเซลล์ การดึงไขมันไปใช้เป็นพลังงาน ตลอดจนการช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย เส้นทางปกติของอาหารเมื่อหิว เข้าสู่ปาก ย่อยที่กระเพาะ ลำไส้ ดูดซึมเข้ากระแสเลือด นำพาไปสู่เซลล์ทั่วร่างกาย ส่วนหนึ่งไปสะสมไว้ที่ตับและกล้ามเนื้อในรูปของ กลัยโคเจนพร้อมใช้ ส่วนเกินจะถูกอินซูลินพาไปสะสมที่เซลล์ไขมัน ต่อเมื่อเกิดสภาวะอด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมน กลูคากอนออกมา พาไขมันสะสมออกจากเซลล์ไขมัน ไปให้ร่างกายใช้ดำรงชีพ แบ่งกลุ่มของสารอาหาร ช่วยลดอ้วนได้ดังนี้ :-
- สารสกัด (block) การนำเข้าซึ่งกลูโคส
- สกัดความอยากน้ำตาล / ข่มความหิวได้แก่ ถั่วเหลือง (มี phenylalanine ข่มความหิว) โครเมียม แอลคาร์นิทีน แอลกลูตามีน เป็นต้น
- สกัดอาหารแคลอรี่สูงสู่กระเพาะ ด้วยการรับประทานผลไม้ (ที่ไม่หวาน เคี้ยวให้แหลก) ลงไปจับจองพื้นที่ในกระเพาะ ก่อนอาหารหนัก เพื่อทำให้อิ่มเร็วขึ้น หากไม่มีผลไม้อาจเลือกใช้สารกากใย หรือน้ำสำรอง
- สกัดการย่อยแป้งเป็นกลูโคส เช่น สารสกัดจากถั่วขาว (Phaseolamin from white kidney bean) ถั่วแดงหลวงก็มีสารนี้ ซึ่งยับยั้งเอนไซม์แอลฟาอมีเลส หรือ สารสกัดจากถั่วเหลือง (Soy bean extract) ซึ่งไปยับยั้งเอนไซม์แอลฟากลูโคซิเดส ในกระบวนการย่อยแป้งให้เป็นกลูโคส
- สกัดการเคลื่อนของอาหารผ่านกระเพาะ เช่น อบเชย หรือการออกกำลังกาย ช่วยลดการบีบตัวของกระเพาะ
- สกัดการดูดซึมในลำไส้ ได้แก่ สารกากใย แต่หากให้จำนวนมากไปเป็นระยะยาว อาจทำให้ขาดสารอาหาร และทำให้หิว g Yo – Yo Effect ได้
- สกัดการแปลงกลูโคสเป็นไขมันสะสม เช่น สารสกัดส้มแขก (HCA – Hydroxy citric acid)
- เร่งเผาผลาญ (Burn)
- ร่วมสร้าง หลั่ง และใช้อินซูลินครบวงจร ตัวที่เสริมประสิทธิภาพการหลั่งอินซูลินได้แก่ สังกะสี
- ช่วยอินซูลินนำกลูโคสไปสู่เซลล์ ได้แก่สังกะสี, โครเมียม, ขมิ้นชัน
- เร่งนำกลูโคสผ่านเข้าสู่เซลล์ เช่น น้ำมันปลา ทำให้ผนังเซลล์และไมโตคอนเดรียอ่อนนุ่ม อินซูลินนำกลูโคสผ่านเข้าออกสะดวก
- เพิ่มอัตราเผาผลาญกลูโคสในเซลล์ ได้แก่ ไพรูเวท เลซิทิน งา (มีเลซิทินเป็นส่วนประกอบ) พริก อบเชย กระเทียม
- เร่งแปลงไขมันเป็นน้ำตาล ได้แก่ แอลคาร์นิทีน แอลกลูตามีน ชาเขียว สรุปว่า เรามีสารช่วยสกัดความอยากอาหาร ได้แก่ โครเมียม แอลคาร์นิทีน ถั่วขาว ถั่วเหลือง อบเชย และสารสกัดส้มแขก สารที่ช่วยเผาผลาญ ได้แก่ สังกะสี โครเมียม ขมิ้นชัน น้ำมันปลา ไพรูเวท เลซิทิน พริก อบเชย กระเทียม แอลคาร์นิทีนและชาเขียว โดยบางตัวมีคุณสมบัติทั้งช่วยบล็อคและเบิร์น
- Nutural cellular burn การเผาผลาญภายใน หมายถึง องค์ประกอบภายในเซลล์ซึ่งต้องอำนวยปัจจัยพร้อมให้อวัยวะของเซลล์ทำงาน เช่น เตาพลังงานไมโตคอนเดรียซึ่งหากไม่มีปัจจัยเพียงพอก็จะติดขัด เช่น หดหรือคลายกล้ามเนื้อไม่ได้ เปรียบเสมือน “ไวอากร้าแห่งเซลล์” ได้แก่ โคคิวเทน แมกนีเซียม บีรวม วิตามินซี อี กรดไลโปอิค และกลูต้าไทโอน (ซึ่งเป็นผู้นำวิตามินซี อี และโคคิวเทน กลับมาใช้ได้ใหม่)
- ขับสารพิษ การขับน้ำมิใช่วัตถุประสงค์แห่งการขจัดไขมันส่วนเกิน เนื่องจากน้ำไม่มีแคลอรี่ แต่หากบวม หรือมีสารพิษ การใช้สารช่วยขับน้ำออก ทำให้น้ำช่วยพาสารพิษออกจากร่างกายได้ส่วนหนึ่ง สารอาหารที่ใช้โดยไม่ก่ออันตรายต่อสุขภาพ เช่น อัลฟัลฟา วิตามินบี6 (มาในรูปบีรวม) ผักสด ขึ้นฉ่าย หน่อไม้ฝรั่ง
- สารสกัด (block) การนำเข้าซึ่งกลูโคส
- Detoxification ในลำไส้มีแบคทีเรียฝ่ายดีและร้าย คือ ฝ่ายดีมีประมาณ 15% เช่น bifidobacteria, Lactobacillus ฝ่ายร้ายมี 85% เช่น E coli, clostridium เมื่อกินอาหารเนื้อ นม ไข่ แป้ง น้ำตาล กากใยน้อย จะเป็นการเพิ่มกลุ่มแบคทีเรียตัวร้าย เนื่องจากชอบสภาวะกรด เมื่ออัตราส่วนแบคทีเรียร้ายเกินสัดส่วนกับแบคทีเรียดีมากไป กลุ่มร้ายจะผลิตสารเคมีมาก ทำให้เกิดแก๊สมาก gผายลมมาก เรอมาก มีกลิ่นปาก ท้องเสียเรื้อรัง ท้องอืด ท้องเดินสลับท้องผูก มีอุจจาระเหม็นมาก ลำไส้ใหญ่อักเสบ ปวดมวนท้อง กรณีเช่นนี้ แก้ได้โดยการกินผักจำนวนมาก ซึ่งมักจะไปสร้างสภาวะด่าง และชักพาแบคทีเรียร้ายออกไป โดยใช้ผักผลไม้น้ำตาลต่ำปริมาณ 800 กรัม/วัน พร้อมงดเนื้อสัตว์ ช่วยขับสารพิษ ลดปริมาณแบคทีเรียกลุ่มเลว (Clostridium + Ecoli) เพิ่มกลุ่ม ดี (Lactobacillus) หากยังมีอาการพิษมาก หรือต้องการลดเร่งด่วน สมควรทำการสวนลำไส้ใหญ่ด้วยกาแฟ
- Extra drinking water ดื่มน้ำปริมาณมากกว่า 8 แก้ว (230 ซีซี/แก้ว) หรือ 30 มล.ต่อกก.น้ำหนักตัว โดยดื่มหลังอาหาร 1 ชม. (งดดื่มมากในมื้ออาหาร เพราะน้ำจะไปเจือจางน้ำย่อย ทำให้อาหารเน่าคาในลำไส้เล็ก) การแบ่งดื่มครั้งละแก้ว ทุกชั่วโมงดีกว่าดื่มคราวเดียวมากๆน้ำไปช่วยในทุกกระบวนการทางเคมี ตั้งแต่ผลิตพลังงาน นำสารในเลือด ขนส่งไปสู่จุดหมาย สลายไขมัน การสร้างเซลล์และเนื้อเยื่อ การขับถ่ายของเสียขณะฟาสติ้ง หรือสวนกาแฟ น้ำไม่ทำให้อ้วน – ไม่เพิ่มแคลอรี่ (เพราะไม่มีแคลอรี่)
- Respiration หายใจยาวลึกบ่อยๆ โดยสูดหายใจเข้าปอดเต็มที่แล้วขยายหน้าท้อง กลั้นไว้นานๆ…ปล่อยหายใจออกเต็มที่ สุดท้ายแขม่วท้อง แล้วทำซ้ำ…พยายามทำวันละหลายๆ ครั้ง การหายใจลึกขยายหน้าท้อง เป็นการช่วยให้กลีบปอดล่างทั้ง 2 ข้างขยายตัว ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายเพิ่มขึ้น เท่ากับเพิ่มกระบวนการเผาผลาญพลังงาน นอกจากนี้ช่วงหายใจยาวลึก ยังเป็นช่วง “จิตว่าง” = เป็นการเพิ่มพลังสมาธิ ผ่อนคลายความเครียดอีกด้วย
- Fruits before ทานผลไม้ (น้ำตาลต่ำ) ก่อนมื้ออาหาร แทนที่จะใช้วิธีทานหลังอาหาร เพื่อช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้นแล้ว สารอาหารวิตามิน แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ ยังได้โอกาสดูดซึมเต็มที่ เข้าไปพร้อมต่อต้านอนุมูลอิสระ หรือสารพิษที่เข้าไปพร้อมอาหารอีกด้วย งานวิจัยพบว่า ผู้ที่ดื่มน้ำผลไม้คั้นกับทานทั้งผล เมื่อ 2 – 3 ชม.ผ่านไป ระดับน้ำตาลในเลือดของคนที่กินทั้งผลเข้าสู่ปกติ แต่คนดื่มน้ำผลไม้ จะลดลงต่ำกว่าปกติ การที่ต่ำกว่าปกติgหิวgกินเพิ่มมากgอ้วน สรุปว่า กินทั้งผลดีกว่าน้ำคั้นโดยเฉพาะในกรณีต้องการลดอ้วน
- Asleep นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ในช่วงหลับลึก ร่างกายจะใช้เป็นโอกาสซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เช่น ระบบน้ำดี และตับ Growth Hormone อันเป็นฮอร์โมนช่วยให้ไม่แก่เร็ว (หากขาดสารนี้จะมีผิวหน้าเหี่ยวย่น ตกกระ หน้าตาไม่สดใส หลังค่อม กระดูกพรุน ฯลฯ) จะหลั่งในช่วงเที่ยงคืนถึง ตี3 เฉพาะเมื่อมีการหลับลึกเกิน 2 ชั่วโมงขึ้นไปแล้วเท่านั้น หมายความว่า หากต้องการ GH ตามธรรมชาติที ร่างกายผลิตเอง จะต้องเข้านอนก่อน 4 ทุ่ม นอกเหนือจากการกินจุบกินจิบ เพิ่มมื้ออาหารประทังหิว ขณะอดนอนแล้ว การอดนอนหรือหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ ยังทำให้อัตราเผาผลาญลดลงด้วย หากไม่หลับ ขอแนะนำสารอาหารทริปโตแฟน เช่น จากสาหร่ายสไปรูลินา 4 – 10 เม็ดก่อนนอน หรือทำสมาธิคลายเครียด ฯลฯ
- Sit Up ท่าบริหารแบบง่ายๆ เพียงนอนหงาย ยกมือที่ประสานกันตรงท้ายทอยขึ้น โดยเกร็งหน้าท้องช่วย…เป็นการออกกำลังกายที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าไม่มีเวลา ใช้ข้ออ้างว่าการวิ่งทำร้ายข้อเข่า จะเข้าโรงยิมก็อยู่ไกล จะไปสระว่ายน้ำก็ไม่มี อยู่ดีๆ จะขึ้นลงบันไดก็ใช่ที่ เพียงท่าซิทอัพก็ขับไขมันหน้าท้อง เพิ่มมัดกล้ามไว้ให้กลัยโคเจนสะสมพร้อมใช้ ได้เป็นกล้ามเนื้อปริมาณมากขึ้น โอกาสที่น้ำตาลต้องถูกนำไปเป็นไขมันก็ลดน้อยลง หากไม่มีที่นอนในที่ทำงาน ท่านั่งก็ทำได้
- Tooth brush เคล็ดลับช่วยประคองใจให้ไม่กินจุบกินจิบ หลังมื้ออาหาร คือ แปรงฟันหลังอาหารทุกครั้ง การแปรงฟันต้องตระหนักในคุณภาพแห่งการแปรง คือ มิให้มีคราบแป้ง น้ำตาล เศษอาหารเกาะติดซอกฟัน เพราะจะสลายตัวเป็นน้ำตาล อันเป็นบ่อเกิดแบคทีเรียแบ่งตัวและปล่อยน้ำย่อยออกมา กัดกร่อนชั้นเคลือบฟัน ต้องใช้แปรงพิเศษที่ขจัดอาหารตามซอกฟัน และโคนฟันที่เปิดโล่ง กล่าวคือ ต้องใช้แปรงถึง 3 ชิ้นเป็นอย่างน้อย จึงนับเป็นงานหนัก ทำให้ไม่อยากกินอะไรให้ต้องแปรงฟันซ้ำ อาจทักท้วงว่าการแปรงฟันหลังอาหารทันทีเป็นการทำลายเคลือบฟันที่สลายไปในมื้ออาหาร…ก็ขอเป็นทางสายกลาง คือ แปรงหลังอาหารสักครึ่งชั่วโมง… จึงใช้การบ้วนปากหลังอาหารทันทีไปก่อน
- Eat Alone อีกเคล็ดลับหนึ่ง คือ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเป็นหมู่คณะโดยไม่จำเป็น เนื่องจากจิตวิทยาหมู่ จูงใจให้ร่วมกินร่วมดื่มอย่างเอร็ดอร่อย จนลืมอิ่ม ขาดการยับยั้งชั่งใจ… การกินคนเดียว ตักใส่จานเดียว ทำให้กะปริมาณที่พออิ่มได้ดี ยังมีรายงานล่าสุดระบุว่า การกินอาหารมื้อเช้ามากๆ เป็นการกระตุ้นอัตราเผาผลาญตั้งแต่เช้า ทำให้ร่างกายมีอัตราเผาผลาญในระดับสูงอยู่ตลอดวัน น่าจะเป็นอีกเคล็ดลับสำคัญแห่งการลดความอ้วน อีกทั้งพบว่านักเรียนวัยรุ่นที่อ้วน ส่วนใหญ่ไม่กินอาหารเช้า ด้วยต้องการลดน้ำหนัก
- Refuse Toxic Stress หลีกเลี่ยงสารพิษในอาหารแต่ละชนิด นอกจากวัตถุประสงค์ให้รู้เท่าทันสารพิษ ที่อาจ จำเป็นต้องใส่มาในอุตสาหกรรมการผลิตและถนอมอาหาร เพื่อประกอบการยับยั้งชั่งใจ ให้กินพออิ่ม ช่วยให้ไม่อ้วนแล้ว ยังต้องการให้คำนึงถึงการใช้สารต้านอนุมูลอิสระ เป็นอีกตัวช่วยได้
* สรุป กินลดอ้วน :-
- Set Attitude ตั้งใจมั่น มุ่งเป้าหมายให้ความสำคัญ ที่จะเอาชนะความอ้วนให้ได้
- Low carb and less calories งดแป้ง น้ำตาล ข้าวขาวขนมปังขาว ลดปริมาณรวมลง 10% โดย ให้มีโปรตีนไม่เกิน 200 กรัม ผักผลไม้ หวานน้อยไม่จำกัด
- Exercise ออกกำลัง 60% MHR เป็นเวลา 30 นาที หลังมื้ออาหาร (หรืออย่างน้อย 2 วันครั้ง)
- Nutrition ใช้สารอาหาร ช่วยสกัดการดูดซึม / ย่อยน้ำตาล เผาผลาญไขมันครบวงจร
- Detoxification ล้างพิษโดยงดเนื้อ 7 วัน ทานผัก ผลไม้ 800 กรัม/วัน และ/หรือสวนกาแฟ
- Extra Drinking Water ดื่มน้ำมากกว่าวันละ 8 แก้ว
- Respiration สูดหายใจเข้า – ออก ลึกๆ บ่อยๆ
- Fruits Before ทานผลไม้น้ำตาลต่ำก่อนมื้ออาหาร
- Asleep เข้านอน (หลับ) ก่อน 4 ทุ่ม
- Sit Up สำหรับผู้ไม่มีเวลา & สถานที่
- Tooth brush แปรงฟันหลังอาหารทุกครั้ง
- Eat Alone หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเป็น หมู่คณะ โดยไม่จำเป็น เน้นให้มื้อเช้าเป็นมื้อหนัก
- Refuse Toxic Stress เลี่ยงสารพิษทั้งหลายในอาหาร โดยหาข้อมูลและตระหนักไว้