ตะกร้าสินค้า

ไม่พบสินค้าในรถเข็น

มะเร็ง

การแก้ไข / รักษามะเร็ง

ให้เรตสมาชิก: 0 / 5

ดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งาน
 

จากความรู้ที่ว่าร่างกายเรามักมีเชื้อมะเร็ง หรือเซลล์ที่ผิดเพี้ยนหลบซ่อนตัวอยู่แล้ว รอโอกาสให้มีปัจจัยลดขีดความสามารถของภูมิต้านทาน หรือสิ่งกระตุ้นที่เสริมส่งให้เชื้อมะเร็งเจริญงอกงาม ดังนั้น ปัจจัยเหล่านี้ ก็จัดเป็นสารก่อมะเร็งด้วย แม้มิใช่สารที่เป็นเชื้อมะเร็งโดยตรง

การที่จะป้องกันมิให้เกิดเป็นมะเร็ง ตลอดจนรักษามะเร็งที่เกิดขึ้นแล้วนั้น คงต้องอาศัยหลักการ เลี่ยงสารก่อมะเร็ง เพิ่มสารต้านมะเร็งที่กล่าวมาแล้ว ตลอดจนความรู้พื้นฐานอื่นๆ เป็นหลัก

การป้องกันในระยะเริ่มต้น อาจเน้นหนักไปที่สารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์แรง คือ SOD (Super Oxide Dismutase) + กลูต้าไทโอน + Super Lycopene อีกทั้ง ลดบริโภคน้ำตาลและเกลือ (Na) เพิ่มการบริโภคโปแตสเซียม เช่นใช้สูตรอาหารต้านมะเร็งของเกอร์สัน (Gerson Diet) เป็นต้น กรณีที่ต้องใช้ความเข้มข้น ในการต่อสู้กับโรคร้าย อาจอาศัยความรู้เกี่ยวกับเอ็นเคเซลล์ (Natural Killer Cell – NKC) หรือเม็ดเลือดขาว (Lymphocyte) นักฆ่า ที่ทำลายล้างศัตรูทุกชนิด ตลอดจนเซลล์มะเร็ง โดยเพาะเลี้ยงด้วยหลักการนำสเต็มเซลล์ จากเลือดออกมาเพาะเลี้ยงเพิ่มปริมาณให้ได้มากพอ แล้วฉีดกลับเข้าร่างกายให้ไปฆ่าเชื้อมะเร็งร้าย (เรียกกระบวนการผลิต CD 56 CELL)

ตลอดจนกินเซลล์อวัยวะไปซ่อมสร้างเซลล์ของอวัยวะที่ถูกทำลาย (ด้วยสารชีวโมเลกุล) โดยมิต้องหวาดระแวงว่าเซลล์ที่เสริมเข้าไป จะไปเสริมความแรงของมะเร็ง เพราะเป็นคนละสายพันธุ์ กล่าวคือเซลล์มะเร็งเป็นเซลล์ที่กลายพันธุ์ไปแล้ว ชอบอาหารและกระบวนการที่ไม่ใช้ออกซิเจน (ไม่ชอบออกซิเจน เนื่องจากขาดเอนไซม์ที่ใช้ออกซิเจน) ชอบบริโภคน้ำตาล และใช้เกลือโซเดียมเป็นโครงสร้างหลัก (ทฤษฎีออกซิเจนบวกภาวะด่างจากโปแตสเซียม หรือแมกนีเซียมช่วยต้านมะเร็ง จึงเป็นที่ยอมรับจนผู้ค้นพบได้รับรางวัลโนเบล ตามที่เคยกล่าวถึงแล้ว) ดังนั้นเซลล์อวัยวะที่เป็น Xenopeptide จึงตรงไปซ่อมอวัยวะที่ชำรุด ช่วยต่อต้านมะเร็งร้ายอีกแรงหนึ่ง ส่วนเซลล์ไทมัสนั้นก็ไปเสริมสร้างภูมิต้านทานพื้นฐาน

ปัญหาคือ ค่าใช้จ่ายที่สูงลิบลิ่ว จนดูเหมือนชีวโมเลกุลจะชิดซ้ายไป เช่น ค่าตรวจค้นหายีนมะเร็ง ครั้งละ 120,000+ บาท ค่าจัดเตรียมเพิ่มจำนวน NKC ฉีดเข้าไปใหม่ (การทำ CD56) ก็ครั้งละ 450,000 บาท up ส่วน SOD + Glutathione + Super Lycopene ตลอดจนอาหารเกอร์สัน น่าจะหลักหมื่น การแพทย์ทางเลือกจึงแพงน้องๆ แผนปัจจุบัน เพียงแต่ได้ซื้อความหวัง ยื้อกับมะเร็ง ให้ชีวิตยืนยาว ไม่ทรมาน หรือทุเลาให้ได้ตายแบบ Apoptosis

พื้นฐานตามหลักวิทยาศาสตร์ที่ใช้ต้านมะเร็ง อาศัยข้อมูลที่ว่าผนังเซลล์ทั่วไป ไม่เว้นเซลล์มะเร็ง ประกอบด้วยไขมันเป็นส่วนใหญ่ (60%) โดยเฉพาะของผนังอวัยวะเซลล์ ที่สำคัญ คือ ไมโตคอนเดรียประกอบด้วยไขมัน 90%

  • ในขณะที่ภายใน DNA และ RNA อันเป็นศูนย์บัญชาการของแต่ละเซลล์เป็นโปรตีน…
  • ในขณะที่เซลล์ปกติต้องการไขมัน และโปรตีนในการดำรงชีพและแบ่งตัวเติบโต พบว่า เซลล์มะเร็งมีอัตราการแบ่งตัวรวดเร็วกว่า ทำให้ต้องใช้สารอาหารมากกว่า…

ด้วยลักษณะที่โตเร็ว จึงน่าจะตายง่าย เมื่อขาดสารอาหาร หากเทียบกับเซลล์ปกติ… จึงใช้ข้อมูลนี้ในการปราบเซลล์มะเร็ง กล่าวคือทำให้ขาดโปรตีนและไขมัน เมื่อแบ่งตัวไม่ได้ ที่เหลืออยู่ย่อมตายไป… แต่เซลล์ปกติทั่วไปก็ขาดอาหารด้วย ซึ่งหากใช้เวลาพอประมาณ เช่น สองเดือน เซลล์มะเร็งน่าจะอดอาหารตายก่อน ในขณะที่เซลล์เจ้าเรือนแค่ผ่ายผอม และในกรณีที่ได้รับอาหาร & ไขมันน้อย ก็น่าจะไปถึงเซลล์เจ้าเรือนก่อน อีกปัจจัยหลักที่สำคัญในการต่อสู้มะเร็ง คือภูมิต้านทาน ของร่างกาย อันได้แก่ เม็ดเลือดขาว ซึ่งยังแบ่งเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ อันมีปริมาณและขีดความสามารถต่างกัน เปรียบเทียบได้ดี เช่น กองทัพ

คงต้องกล่าวถึงพื้นฐานภูมิคุ้มกัน หรือกองกำลังเม็ดเลือดขาว เป็นพื้นความรู้เบื้องต้นว่า ปกติร่างกายมีเม็ดเลือดขาวประมาณ 4000 – 8000 ตัวต่อไมโครลิตร (ml) แบ่งประเภทเป็น นิวโตรฟิลล์ 50% ลิมโฟไซท์ 18 – 45% โมโนไซท์หรือแมคโครเฟ็จ 5% อีโอซิโนฟิล 4% และเบโซฟิลล์อีกราว 0.5 – 1%…

 

จากข้อมูลเบื้องต้นนี้ เวลาเราตรวจเลือดโดยทั่วไปที่เรียก CBC (Complete blood count) คือ นับจำนวนเม็ดเลือดต่อหน่วยปริมาณ หากพบจำนวนเม็ดเลือดขาวต่ำกว่า 4000 น่าจะบ่งบอกว่า ร่างกายไม่สมบูรณ์ มีกองกำลังพลภูมิคุ้มกันไม่เพียงพอ หากติดเชื้อโรคเล็กน้อยก็ล้มป่วยได้ ถ้าเกิดเป็นเซลล์มะเร็งก็เอาไม่อยู่

 

หากตรวจพบจำนวนมากกว่า 8000 น่าจะบ่งชี้ว่ามีภาวะระดมพลสู้รบ เช่น เชื้อแบคทีเรียเข้าร่างกาย แต่กรณีติดเชื้อไวรัสนั้น เม็ดเลือดขาวมักต่ำ สืบเนื่องจากเชื้อไวรัสเมื่อเข้าสู่ร่างกาย จะตรงเข้าไปอยู่ในเซลล์ของเนื้อเยื่อ ไม่ค่อยคงอยู่ในกระแสเลือดพลพรรคเม็ดเลือดขาว จะไปห้อมล้อมเซลล์ที่ติดเชื้อไว้ บริเวณรอบเนื้อเยื่อหรือเซลล์ ทำให้ไม่พบจำนวนที่เพิ่มขึ้นหรืออาจลดลงในกระแสเลือด

 

กองกำลังพื้นฐาน ที่เป็นเสมือนทหารราบแนวหน้า มีไพร่พลมากที่สุดในหมู่ทหาร คือ เซลล์ที่ผลิตจากไขกระดูก รูปร่างเล็ก มีนิวเคลียสติดสีม่วง ลักษณะหลายแฉก จึงเรียกแกรนูโลซัยท์ (Granulocyte polymorph) หรือนิวโตรฟิล (Neutrophil) นั่นเอง มีจำนวนเกิน 50% ของกองกำลังเม็ดเลือดขาวทีเดียว เมื่อสิ่งแปลกปลอม ไม่ว่าเชื้อโรค สารพิษ หรือเซลล์มะเร็งเข้าร่างกาย จะถูกจอมเขมือบนิวโตรฟิลตรงเข้าเล่นงานโดยไม่ต้องรอคำสั่งหรือสัญญาณจากผู้ใด นับเป็นงานประจำวันเลยทีเดียว

ตัวกลืนกินที่ใหญ่กว่านิวโตรฟิลมาก แต่จำนวนไม่มากนัก คือโมโนซัยท์ (Monocyte) หรือแมคโครเฟ็จ (Macrophage) พุงใหญ่เปรียบได้กับรถแบคโฮ ทำหน้าที่ทั้งเก็บกวาดของเสีย กลืนกินได้ทุกอย่าง นอกจากนี้ยังเป็นผู้ส่งข่าวสารไปสมอง ให้สั่งผลิตกองกำลังมาสมทบจากต่อมไทมัส คือลิมโฟซัยท์ (lymphocyte) อีกทั้งเป็นผู้สร้างสารทำลายล้างมะเร็ง ที่เรียก Tumor Necrosis Factors (TNF) ขอให้จดจำแมคโครเฟ็จให้ดี เพราะยังมีบทบาทหรือสิ่งเกี่ยวข้อง เช่นเรื่องราวของ Polysaccharide ที่มากระตุ้นหรือเสริมพลังแมคโครเฟ็จได้

เมื่อกลางปี 51 นี้เอง ก็เพิ่งมีข่าวความหวังอันยิ่งใหญ่ เรื่องการถ่ายเซลล์เม็ดเลือดขาว แกรนูโลไซท์ จากคนหนุ่มที่แข็งแรง และระบบภูมิคุ้มกันโรค สามารถผลิตเซลล์ซึ่งสามารถต่อสู้กับเซลล์มะเร็งได้อย่างเข้มแข็งให้กับคนไข้โรคมะเร็ง ข่าวว่าแนววิธีนี้ประสบผลสำเร็จ 100% ในหนูทดลอง ในการรักษาโรคมะเร็งระยะท้ายๆ โดยการศึกษาทดลองเบื้องต้นนี้ได้รับอนุมัติจาก FDA สหรัฐในการนำมาใช้กับคนแล้ว

ที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนก็คือ ลิมโฟซัยท์ ซึ่งมีราวๆ 40% เป็นเสมือนหน่วยสืบค้น ตำรวจและทหารโดยเฉพาะนักฆ่าโดยธรรมชาติ (Natural killer cell – NKC) เมื่อพบสิ่งแปลกปลอมจะจัดการทำลายทันที ส่วนใหญ่ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น คือ ก่อการอักเสบ ส่งผลให้เนื้อเยื่อหรือสนามรบ บวมแดง ร้อน ไพร่พลที่ตายไปของเม็ดเลือดขาวจะ ปรากฏเป็นหนองให้เห็นได้

เมื่อการสู้รบสงบ อีโอสิโนฟิล จะออกมาทำหน้าที่เคลียร์พื้นที่ ปล่อยสารต้านอักเสบ (antihistamine) เพื่อลดการอักเสบลงสู่ปกติ…

แต่ในกรณีที่การสู้รบไม่ลงตัวมีค้างคา อักเสบคงอยู่ เช่น ติดเชื้อพยาธิตัวใหญ่กว่าเม็ดเลือดขาวทุกชนิด ร่างกายกำจัดไม่ได้ ทำเพียงปิดล้อมปล่อยอักเสบหวังทำลาย ในขณะที่อีโอสิโนฟิล EO ออกมาลดอักเสบก็ต้องเพิ่มจำนวน เราจึงพบว่ามี EO สูงกว่าปกติ ในภาวะติดเชื้อพยาธิ เช่น ตัวจี๊ด เท้าช้าง

สำหรับเบโซฟิลนั้น เป็นเสมือนผู้กรุยทางเกี่ยวกับการแข็งตัวของเกล็ดเลือดให้กองทัพเม็ดเลือดขาว เดินทางสู่เป้าหมายได้สะดวก ในช่วงระดมพลจากต่อมไทมัส มาสู่จุดเกิดเหตุ รวมทั้งลำเลียงผู้บาดเจ็บและเชื้อโรคสู่ตับ หรือจุดขับล้าง ได้สะดวกราบรื่น

ส่วนเซลล์มะเร็งหรือเชื้อโรคมักมี antigen เป็นโปรตีนเฉพาะ เคลือบผิวไว้ ทำให้ B–cell ของลิมโฟซัยท์รับรู้และจดจำได้ง่าย (ในภาวะปกติทั่วไป)

เมื่อเปรียบอัตรากำลังแล้ว ฝ่ายที่แข็งแกร่งกว่าย่อมได้ชัยชนะ เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดสืบเนื่องมานานปี มิใช่ปัจจุบันทันด่วน

จะขอกล่าวถึงกลไกและอุปกรณ์ วิธีการที่เกิดขึ้นหรือจำเป็นให้เกิดขึ้น ในกระบวนการต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง ของเม็ดเลือดขาว และร่างกายโดยทั่วไปทีละขั้นตอน ดังนี้ :-

1. ใช้อาวุธทำลายล้าง ก็คือสิ่งที่แพทย์ทำได้ตั้งแต่ การผ่าตัด ยาเคมีบำบัด + ฮอร์โมน และฉายแสง ซึ่งส่วนใหญ่มีเพียง 3 กลุ่มวิธีเท่านั้น

2. การช็อคมะเร็ง Shock Therapy …เป็นบทบาทเด่นของเยอรมาเนียม ในหลินจือสกัด หนังสือหลิงจือกับข้าพเจ้า เป็นข้อมูลประสบการณ์ส่วนตัว ของแพทย์ผู้รักษาโดยใช้หลินจือ รักษาโรค โดยเฉพาะมะเร็ง… ส่วนของนพ.สุรพล เป็นตำราที่อธิบาย กลไกการต่อสู้มะเร็งด้วยหลินจือ ในภาษาที่ชาวบ้านอ่านได้ (อ่านรายละเอียดในเรื่องเห็ดหลินจือแดง…การแพทย์บูรณาการเล่ม 2)

กลุ่มสารสำคัญในหลินจือ คือ ออร์แกนิค เยอรมาเนียม เป็นตัวปรับศักย์ไฟฟ้า ทำให้เซลล์รับออกซิเจน ได้เพิ่มขึ้น เม็ดเลือดแดงรับ ออกซิเจน ได้เป็น 1.5 เท่า มีผลต่อการประหยัดออกซิเจน ทำให้เซลล์ปกติมีพลังเชื้อเพลิงมาก ในขณะที่เซลล์มะเร็งไม่ชอบออกซิเจน…มีการทดสอบพิษเยอรมาเนียม ให้หนูได้รับขนาดความเข้มข้น 1000 เท่าของที่มีในเห็ดหลินจือ …ผล นอกจากไม่พบพิษแล้ว ยังช่วยพาโลหะพิษ เช่น แคดเมียม ปรอท และสารก่อมะเร็งอื่นๆ ออกไปพร้อมกัน

วิธีกำจัดเซลล์มะเร็งของเยอรมาเนียม คือ เข้าไปจับคู่กับอิเล็กตรอนจากผนังเซลล์ในระยะแบ่งตัว ทำให้เซลล์แบ่งตัวต่อไม่ได้ โดยในระยะแรกที่ใช้รักษามะเร็ง ต้องใช้ขนาดสูง (shock therapy) คือวันละ 60 เม็ด หรืออย่างน้อย 20 เม็ดเพื่อลดศักย์ไฟฟ้าของก้อนเนื้อร้ายให้ได้ทั้งหมดโดยเร็ว

สำหรับสารเยอรมาเนียม ซึ่งช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งนั้น ยังพบได้ในกระเทียม ว่านหางจระเข้ โสม ส่วนในเห็ดหอมชิตาเกะก็น่าจะมีด้วย โดยพบว่าหลินจือมีความเข้มข้นของสารนี้สูงสุด

3. Apoptosis ในหลินจือยังมีกลุ่มสารออกฤทธิ์ไตรเตอร์พีนอยด์ (triterpenoid) ไปกระตุ้นกระบวนการเกิด Oxidation Reduction Potential (Redox) ภายในเซลล์ ทำให้เซลล์มะเร็งถึงกาลเผาไหม้ภายใน ตายไปเอง อันเป็นภาวะการณ์ที่รู้จักกันในชื่อ Apoptosis

นอกจากนั้น Triterpenoid ยังช่วยลดอักเสบได้ถึงเกือบ 50% อันเป็นประสิทธิภาพเทียบเท่าสารสเตอรอยด์ ไฮโดรคอร์ทิโซน ขนาด 5 มก. ส่งผลให้เกิดการลดบวม ลดปวดจากการอักเสบของเนื้อเยื่อจากมะเร็ง หรือผลเสียจากการฉายรังสีและคีโม

สารในหลินจือยังช่วยลดอาการตับแข็ง และจับตัวเป็นไขมัน ที่มีประโยชน์มากคือ แผลมะเร็ง แผลจากรังสี เม็ดเลือดขาวต่ำ ท้องเสียจากรังสีหรือคีโม พบว่าสารสำคัญในหลินจือ ช่วยลดอักเสบ บวม ปวด

ขมิ้นชัน นอกจากมีบทบาทในเรื่องโรคอ้วน เบาหวาน แก้โรคกระเพาะ ขับลมท้องอืดเฟ้อ บำรุงผิวพรรณแล้ว ยังพบสารสำคัญที่เรียก เคอร์คูมิน มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อราและไวรัส…รวมถึงฤทธิ์ที่ทำให้เซลล์มะเร็งตายแบบ Apoptosis จึงเป็นความหวังอย่างแรงของชาวไทย ในการวิจัยหาวิธีใช้ขมิ้นชันช่วยต้านมะเร็ง

4. ตัดเสบียงข้าศึกเป็นลำดับแรก คือ งดให้ไขมันและโปรตีน โดยหวังว่าเซลล์มะเร็งจะตายก่อนเซลล์ปกติ ในช่วงเวลา 2 เดือนที่อด (ซึ่งร่างกายทนได้) นอกจากนี้ยังพบว่า เซลล์มะเร็งมักกลายพันธุ์และแข็งแรงในภาวะที่มีโซเดียม ตรงข้ามกับภาวะที่มีโปแตสเซียมสูง จึงต้องงดเค็ม แล้วเสริมน้ำต้มผัก ซึ่งมีโปแตสเซียมสูง

โปแตสเซียมจะไปช่วยขับโซเดียมออกจากเซลล์อีกทางหนึ่งด้วย จึงเหลือเพียงกลุ่มคาร์โบไฮเดรต คือ แป้ง ข้าวกล้อง และน้ำกับวิตามิน เกลือแร่ 3 กลุ่มหลัก ที่ใช้ดำรงชีพในช่วงการอดอาหารนี้

ในการนี้มักได้แมกนีเซียมจากน้ำต้มผักด้วย ซึ่งข้อดีมากๆ ของแมกนีเซียม คือ เสริมสร้างสภาวะด่าง ร่วมกับโปแตสเซียม อันเป็นสภาวะที่มะเร็งไม่ชอบ โดยสรุปคือ งดเนื้อ นม ไข่ทุกชนิดแม้กระทั่ง ถั่วเหลือง โปรตีนเกษตร… งดไขมันทุกชนิด ไม่ว่า กะทิ เนย ครีม น้ำมันพืช น้ำมันสัตว์ ยกเว้น น้ำมันปลา รวมถึงของเค็ม หมักดองทั้งหลาย โดยใช้เพียงซีอิ๊วขาวเติมได้เล็กน้อย

เพิ่มความแข็งแกร่งของเม็ดเลือดขาว ได้แก่ สารอาหารจากพืชผักผลไม้หลากสี จมูกข้าวสาลี โดยเน้นของสด ใช้ข้าวโพดโรยพร้อมข้าวกล้อง เพื่อได้ “โปรตีนจำเป็น” สำหรับเม็ดเลือดขาว ได้สารไลซีนและช่วยให้นอนหลับพักผ่อนได้

น้ำตาลเป็นพิษต่อเม็ดเลือดขาว โดยพบว่าจะทำให้เม็ดเลือดขาวหมดสภาพ 100% ในครึ่งชม.แรก จากนั้นยังลดประสิทธิภาพถึง 50% ใน 5 ชั่วโมงหลังบริโภค จึงต้องงดหวานและน้ำตาลอีกประเภทอาหารหนึ่ง สิ่งที่ทดแทน คือ คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น เผือก มัน หัวกลอย ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต เม็ดบัว ลูกเดือย และที่สำคัญสุดๆ คือ เบต้ากลูแคน

5. ลดแนวร่วม ศัตรูที่ทำให้ต้องเสียกำลังปราบปราม เช่น ภาวะ Oxidative stress ทั้งหลาย เพื่อเก็บกำลังพลไว้ใช้ในศึกเฉพาะหน้าให้มากที่สุด จึงต้องระวังสารพิษจากผัก ผลไม้ อาหารและสิ่งแวดล้อม เช่น บุหรี่ เหล้า (เหล้ามีสาร acetaldehyde ก่อมะเร็ง) โลหะหนัก เช่น แคดเมียม ซึ่งพบว่าแคดเมียมเป็นตัวขับไล่แร่ธาตุสังกะสีในร่างกาย (ขณะเดียวกัน หากได้สังกะสีมากก็ช่วยผลักดันแคดเมียมออกไป)

นอกจากสารอาหารบำรุงจากผักผลไม้แล้ว สมควรเสริมกำลังเม็ดเลือดขาว ด้วยวิตามินแร่ธาตุที่จำเป็น ได้แก่ วิตามินซี อี สังกะสี ซีลีเนียม แมกนีเซียม รวมทั้งโฟลิค บีรวม โคคิวเทน โอพีซี และกลูต้าไทโอน เป็นการเพิ่มอาวุธต้านอนุมูลอิสระแก่ร่างกาย

6. กวาดล้างพิษคั่งค้างในร่างกาย ได้แก่ การระดมผักผลไม้กากใยจำนวนมาก ที่แนะนำคือ วันละ 8 ขีด รวมทั้งการสวนกาแฟ

ทำไมจึงสวนกาแฟ กาแฟเป็นหนึ่งในสิ่งต้องห้ามสำหรับเวชศาสตร์ชะลอชรา เพราะเป็นที่รู้ๆกันอยู่ว่า กาแฟกระตุ้นประสาทสมอง หัวใจ ลำไส้ จากเส้นทางเดินของกาแฟที่ดื่มแล้ว ดูดซึมในลำไส้สู่กระแสเลือด สู่หัวใจ ปอด แล้วหัวใจสูบฉีดไปยังอวัยวะต่างๆ ที่กล่าวข้างต้น แต่การสวนกาแฟเข้าทางทวารหนัก การดูดซึมจะเป็นที่ลำไส้ใหญ่ และเล็กส่วนปลาย เข้าสู่หลอดเลือดดำของทวารหนัก (Hemorrhoidal vein) เข้าสู่ตับทางหลอดเลือดดำตับ (Hepatic Portal vein) ก่อนที่จะหันกระจายไปสู่อวัยวะอื่นดังเช่นการดื่ม เซลล์ตับจะได้รับการกระตุ้นให้ทำงานมากขึ้น ผลคือ มีการขจัดของเสียได้ดีกว่าเดิม อันเป็นการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยโกททินเกนในเยอรมันนี

ในขณะที่เราจะไม่พบผลข้างเคียงของกาแฟเหมือนการดื่มเข้าไป ไม่ว่าเรื่องใจสั่น นอนไม่หลับ ปวดท้อง หรือปัสสาวะมาก ในขณะที่อาการไข้จะลดลงได้ ภายหลังสวน โดยไม่ต้องใช้ยาลดไข้ ปวดเมื่อยหาย ปวดท้อง คลื่นไส้หมดไปเร็ว โดยทั่วไปจะรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวขึ้นภายหลังการสวนกาแฟ

วิธีทำคร่าวๆ คือ ใช้ผงกาแฟสำเร็จที่ชงดื่ม 1 – 2 ซอง นำมาละลายน้ำอุ่น 1 – 2 ลิตร หรือ 30 ซีซี/กก.นน.ตัว สวนเข้าทางทวารหนักในท่านอนตะแคงขวา

ข้อพึงระวัง คือ อย่าแขวนถุงกาแฟสูงเกิน 1 เมตร สำหรับวิธีการโดยละเอียดนั้น สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ เพราะมีกล่าวไว้หลากหลายแล้ว

7. เสริมกำลังภายใน ได้แก่ เสริมภาวะต้านมะเร็ง เช่น ภาวะด่างจากแมกนีเซียม โปแตสเซียม (จากผักผลไม้) ใช้น้ำกลุ่มโมเลกุลเล็ก เช่น น้ำพลังแม่เหล็ก เพิ่มอาหารบำรุงระบบภูมิต้านทาน

วิธีเพิ่มความแข็งแกร่งของเม็ดเลือดขาว ได้แก่ สารอาหารจากพืชผักผลไม้หลากสี จมูกข้าวสาลี โดยเน้นของสด ใช้ข้าวโพดโรยพร้อมข้าวกล้อง เพื่อได้ “โปรตีนจำเป็น” สำหรับเม็ดเลือดขาว ได้สารไลซีนและช่วยให้นอนหลับพักผ่อนได้

น้ำตาล นอกจากเป็นอาหารส่งเสริมเซลล์มะเร็งแล้ว ยังเป็นพิษต่อเม็ดเลือดขาว โดยพบว่าจะทำให้เม็ดเลือดขาวหมดสภาพ 100% ในครึ่ง ชม.แรก จากนั้นยังลดประสิทธิภาพถึง 50 % ใน 5 ชม.หลังบริโภค จึงต้องงดหวานและน้ำตาลอีกประเภทอาหารหนึ่ง สิ่งที่ทดแทนคือ คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น เผือก มัน หัวกลอย ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต เม็ดบัว ลูกเดือย และที่สำคัญมาก คือ เบต้ากลูแคน

8. ใช้ตัวช่วย สารอาหารอีกกลุ่มหนึ่งที่เสริมกำลังเม็ดเลือดขาวได้ดีคือ วิตามินแร่ธาตุที่จำเป็น ได้แก่ วิตามินซี อี สังกะสี ซีลีเนียม แมกนีเซียม น้ำมันปลา สารต้านออกซิเดชั่น ให้อาหารทิพย์แก่แมคโครเฟ็จ เช่น เบต้ากลูแคนที่กล่าวแล้ว รวมทั้งโฟลิค บีรวม โคคิวเทน โอพีซี และกลูต้าไทโอน เป็นการเพิ่มอาวุธต้านอนุมูลอิสระแก่ร่างกาย

9. ออกกำลังกาย เป็นการฝึกซ้อมกองกำลังเม็ดเลือดขาวให้พร้อมปฏิบัติการ งานวิจัยพบว่าขณะออกกำลังจะมีจำนวนเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น ซึ่งหลักการออกกำลังกายที่ดีคือ 60% MHR (ดูคำศัพท์ในเล่ม1)

10. การฝึกสมาธิ คลายเครียด เป็นการสร้างเสริมเพิ่มขีดความสามารถของภูมิต้านทาน ตรงข้ามกับภาวะเครียด ซึ่งร่างกายจะหลั่งสารอดรีนาลีนและคอร์ติซอล อันทำให้เม็ดเลือดขาวอ่อนแอลง ผลของพลังสมาธิเป็นสิ่งพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ เช่น วัดด้วยเครื่อง Biofeedback พบคลื่นอัลฟา (alpha wave) สูงขึ้นในผู้ที่ฝึกสมาธิ…

มีการทดลองของดร.อาจอง ชุมสายฯ กับกลุ่มนิสิตชมรมจิตศึกษาจุฬาฯ ในการรวมพลังแผ่เมตตาแก่ต้นดาวกระจาย เทียบกับแปลงปกติ พบว่าเพียง 2 สัปดาห์ แปลงดาวกระจายที่ได้พลังสมาธิ โตกว่าถึง 50 % ความรู้นี้ถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์ที่เรียก insight meditation ซึ่งตรงกับวิปัสสนา ปฏิบัติสติปัฎฐานสี่นั่นเอง

ผลจากพลังสมาธิ นอกจากคลายเครียด หายกลุ้มแล้ว ยังเพิ่มภูมิต้านโรค เติมพลังให้เม็ดเลือดขาวด้วย หากต้องการฝึกเป็นล่ำเป็นสัน ขอแนะนำแนวปฏิบัติที่เข้าใจง่าย ตรงประเด็นจากหนังสือ “ไอน์สไตน์ถามพระพุทธเจ้าตอบ” หลักภูมิชีวิต จึงต้องอาศัย 3 ประสาน ทั้งอาหาร การออกกำลัง และสมาธินั่นเอง

11. ผู้ที่ต้องเข้าสนามต่อสู้กับโรคมะเร็งจริง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ กำหนดตารางอาหาร ผัก ผลไม้ เป็นเมนูอาหารต้านมะเร็ง ให้ทานได้ไม่เบื่อตลอดสัปดาห์ ให้ดูเหมือนไม่ซ้ำซาก โดยเน้นสุดยอดผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง กากใยสูง หวานน้อย ได้แก่ ส้มโอ ฝรั่ง มะละกอ แอปเปิ้ล และสับปะรด อย่าลืมว่า การกินผักผลไม้ให้ได้ 4 ขีดต่อวัน สามารถลดอุบัติการณ์มะเร็งได้ถึง 40%

12. HIFU…ไฮฟู นพ.สมนึก ศิริพานทอง เล่าไว้ว่า

High Intensity Focused Ultrasound – HIFU เป็นวิธีรักษามะเร็งด้วยเทคนิครวมศูนย์คลื่นความถี่สูง ทำนองเลนส์รวมแสงเข้าศูนย์กลางจนเกิดความร้อน

HIFU ก็สามารถรวมคลื่นเสียงอัลตราซาวด์มาไว้จุดเดียวกัน จนเกิดความร้อน ความร้อนที่สูงพอ (800C) จะไหม้ทำลายเนื้อร้ายเฉพาะจุดที่โฟกัสได้ ส่วนเนื้อเยื่ออื่นๆ ไม่เกิดอันตราย

มะเร็งนั้นตายที่ 56 0C เป็นเวลา 1 วินาที

จึงเหมาะกับการรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด (เฉพาะอวัยวะส่วนที่ทึบ หากมีช่องลมอยู่ เช่น ลำไส้ ปอด ไม่สามารถใช้ได้) รายละเอียดต้องติดต่อศูนย์ HIFU International