ตะกร้าสินค้า

ไม่พบสินค้าในรถเข็น

หน้าใส

ให้เรตสมาชิก: 0 / 5

ดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งาน
 

คุณสามารถป้องกันรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าได้ แม้คุณจะอายุ 80 ก็อาจมีผิวพรรณที่สดใสเต่งตึง เฉกเช่นวัยรุ่นได้

ถ้าคุณจะระมัดระวัง บำรุงผิวพรรณเสียแต่เนิ่นๆ อาจจะยากหน่อย แต่คงดีกว่าไม่รู้เสียเลย ผิวพรรณที่สมบูรณ์ที่สุด คือ ผิวของทารกแรกคลอด เพราะถูกหล่อเลี้ยงมาในน้ำคร่ำอันอุดมสมบูรณ์ในครรภ์ หลังจากนั้นผิวก็จะเริ่มผจญกับสิ่งแวดล้อมภายนอก รวมทั้งองค์ประกอบภายใน เสื่อมสลายไปตามลำดับ 

สาเหตุ

  1. สิ่งที่ทำลายผิวอันดับแรกสุด คือ แสงแดดหรืออัลตราไวโอเลต ซึ่งแม้จะช่วยฆ่าเชื้อโรคที่ติดอยู่ตาม ผิวหนัง แต่ก็ทำให้เซลล์ผิวเหี่ยวย่น เสื่อมสลายลง การหลีกเลี่ยงแดดจัดเป็นเวลานานๆ จึงเป็นการถนอมผิวพรรณอันดับแรก อนึ่ง ในคนผิวขาวโอกาสเกิดมะเร็งของผิวหนังนั้นมีได้มากกว่าคนปกติ  หากถูกแดดจัดบ่อยๆ
  2. สิ่งระคายเคืองภายนอก เช่น สารเคมี สบู่ ผงซักฟอก น้ำยาขัดพื้นต่างๆ รวมทั้งความแห้งแล้งของบรรยากาศตามฤดูกาลที่ทำให้ผิวแห้งถูกทำลายไป ถ้าหลีกเลี่ยงหรือป้องกันได้ ก็จะเป็นการช่วยชะลอความเหี่ยวย่นของผิว โดยเฉพาะผิวหน้าที่คุณหวงแหน
  3. ยาคุมกำเนิด ทั้งฉีดและกิน ล้วนมีฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นส่วนผสมซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้ฝ้ากำเริบ
  4. ยาทา / ครีมเครื่องสำอางบางอย่างที่ใช้ทาให้หน้าขาว อาจใส่ปรอท โมโนเบนโซน หรือสารฟอกสี มีฤทธิ์ฆ่าทำลายเซลล์สีทำให้เกิดรอยด่างขาวอย่างถาวรแก้ไขไม่ได้ การทาไฮโดรควิโนนเข้มข้นมากกว่า 5% นานเกิน 6 เดือน ก็พบว่าเกิดด่างขาวหรือจุดดำได้
  5. การขาดแคลนองค์ประกอบที่เป็นโครงสร้างผิวคือ สารอาหารหลักทั้ง 5 หมู่ อันได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน น้ำ และวิตามินเกลือแร่ เหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานถ้าขาดอาหารผิวพรรณก็ทรุดโทรมไป วิตามินเอ ดี อี  แพนโทเธนิคแอซิด และเกลือแร่ สังกะสี แม้จะเป็นส่วนประกอบย่อย แต่ถ้าขาดมากๆ ก็ทำให้ผิวแห้ง แตก ตกสะเก็ด เกิดตุ่มเม็ดตามตัว แผลพุพองเรื้งรังได้ คอลลาเจนและอิลาสตินก็เป็นโครงสร้างที่สำคัญของผิว คงความยืดหยุ่นแห่งผิว ร่างกายสังเคราะห์สารนี้จากอาหารที่ได้รับ การได้คอลลาเจนในปริมาณมากพอ  จึงเป็นปัจจัยสำคัญ
  6. วิตามินเอ แอซิด ก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ โดยจะซึมซาบลงไปช่วยเสริมสร้างเซลล์เยื่อบุผิวคอลลาเจน เพิ่มแรงเกาะยึดระหว่างเซลล์พื้นฐาน ทำให้ผิวพรรณแข็งแรงขึ้น

        การใช้เครื่องสำอางแต่งหน้าเป็นเพียงแค่กลบเกลื่อน หรือ ซ่อนเร้นริ้วรอยต่างๆ ไว้ อย่างไรก็ตามการแต่งเสริมเติมหน้าก็ไม่ขัดกับการใช้วิตามินเอ แอซิด บำรุงผิว แต่ควรเลี่ยงสิ่งระคายเคืองบางอย่าง เช่นโลชั่น แอลกอฮอล์ โคโลญน์ หรือการขัดถูหน้าและแสงแดด

        ปัจจุบันความก้าวหน้าของการแพทย์ชีวโมเลกุล เช่น การใช้เซลล์ผิวหนัง และกล้ามเนื้อซ่อมแซมฟื้นฟูผิว เซลล์ต่อมใต้สมองและรังไข่ ไปซ่อมอวัยวะเป้าหมายให้หลั่งฮอร์โมน ทำให้ผิวคืนสู่วัยที่สดใส ชะลอวัยชราได้ชัดเจน ร่วมกับการชะลอการเกิดริ้วรอยด้วยวิตามินเอ แอซิดทาเป็นประจำ ตลอดจนได้รับสารบำรุงผิว เช่น น้ำมันปลา วิตามินซี สังกะสี คอลลาเจนชั้นดี อีกทั้งป้องกันสิ่งทำลายผิวอื่นๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ (อ่านเพิ่มเติมในเรื่องการแพทย์ชีวโมเลกุล)

 

* สรุป 

  1. เลี่ยงแสงแดด ทาครีมกันแดด หรือใช้สิ่งปกป้อง
  2. ได้รับสารอาหาร คอลลาเจน สังกะสี วิตามิน เกลือแร่ โคเอนไซม์ เพียงพอพร้อมดื่มน้ำวันละ 30 ซีซีต่อ 1 กก. น้ำหนักตัว เป็นประจำตลอดไป
  3. ก่อนนอนทาครีมบำรุงเซลล์ วิตามินเอ แอซิด (เทรทติโนอินทา / ไม่ใช่ชนิดรับประทาน)

 

สภาพผิวหน้า / หลักการดูแล

แบ่งเป็น 4 ลักษณะ

  1. ผิวปกติ หน้าไม่มัน หรือแห้งเด่นชัด ทนได้ทุกสภาวะของอากาศ แนะนำใช้เจลใสล้างหน้า เช้า – เย็น (ควรหลีกเลี่ยงสบู่)
  2. ผิวแห้ง เกิดจากต่อมไขมันใต้ผิวทำงานขับไขมันออกมาน้อยกว่าปกติ หรือผิวหน้ากระทบกับสารเคมี สิ่งระคายเคืองสภาพผิวหน้าจะลอกเป็นขุย เมื่ออากาศแห้งจะคัน ห้ามใช้สบู่ล้างหน้า ให้ใช้น้ำเปล่าล้างหน้า หรือแนะนำเจลใสล้างหน้า เช้า – เย็น ถ้าหน้ายังแห้งอยู่ ให้ทาทั่วหน้าด้วยมอยส์เจอร์เฉพาะ (ทาทั่วหน้า หรือเฉพาะที่) หลังล้างหน้า เช้า – เย็น เพราะเป็นสิ่งให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหน้า ลดการสูญเสียน้ำ ควบคุมปริมาณน้ำในผิว ช่วยรักษาสมดุลความชุ่มชื้นของผิว โดยไม่กระตุ้นให้ต่อมไขมันทำงานเพิ่มมากขึ้น
  3. ผิวมัน เกิดจากต่อมไขมันทำงานมากกว่าปกติ มักพบในวัยรุ่น ซึ่งมีฮอร์โมนแอนโดรเจน เทสโตสเตอโรน ออกมามาก สภาพผิวหน้ารูขุมขนกว้าง ล้างหน้าสักครู่ หน้าก็มันเยิ้ม แนะนำให้ใช้เจลใสล้างหน้าแทนสบู่ เช้า – เย็น ถ้าใช้ แล้วสักครู่หน้าเริ่มมันอีก ให้ทาทั่วหน้าด้วยมอยส์เจอร์ผสมสารควบคุมความมัน (ทาทั่วหน้าหรือเฉพาะที่) หลังล้างหน้า เช้า – เย็น เพราะประกอบด้วยสารที่ลดการทำงานของต่อมไขมัน ผู้มีอาการมากให้ใช้กระดาษซับมัน แปะซับบ่อยๆ (ห้ามใช้กระดาษเช็ดถูแรงๆ) ถ้าใช้เจลใสแล้วยังไม่หายมัน ต้องการสารชะล้างที่แรงหรือมีฟองมากจึงแนะนำ โฟมแทน
  4. ผิวผสม บางแห่งปกติ  บางแห่งแห้งหรือมัน  ใช้เจลใสล้างหน้า เช้า – เย็น แล้วทาเฉพาะที่ด้วยมอยส์เจอร์ผสมสารควบคุมความมัน ตามสภาพผิวเฉพาะจุด

 

สิ่งชะล้าง

        ร่างกายจำเป็นต้องทำความสะอาดทุกวัน สิ่งที่ใช้โดยมากมักจะเป็นสบู่ซึ่งสามารถชำระล้างคราบไขมันสิ่งสกปรกได้ดี แต่สำหรับบางคนแล้วสบู่ก่อให้เกิดการแพ้ ได้เพราะในสบู่มีกรดด่างอยู่ และยังมีสารเคมีจำพวกน้ำหอมซึ่งอาจเกิดอาการระคายเคืองขึ้น โดยเฉพาะกับใบหน้า จึงมีการคิดค้นหาสิ่งที่จะทำหน้าที่ชำระล้างไขมันและสิ่งสกปรกออกได้ดีที่สุด แต่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวน้อยที่สุดนั้น พอจะสรุปวิวัฒนาการสบู่ได้ดังนี้ :-

  • สบู่ก้อน เตรียมขึ้นจากกรดไขมัน ทำปฏิกิริยากับสารเคมีที่เป็นด่างจึงมีความเป็นกรดหรือด่างสูง ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังได้ง่าย และยังใช้น้ำหอมหรือกลิ่นหอมค่อนข้างมากในสบู่บางชนิด
  • สบู่เหลว เตรียมขึ้นด้วยกรรมวิธีคล้ายกัน แต่สารที่ใช้ชำระคราบไขมันและสิ่งสกปรกมีความบริสุทธิ์มากขึ้น ทำให้มีความเป็นด่างลดลง แต่บางรายก็ยังแพ้ได้ และยังล้างออกยากจึงรู้สึกลื่นผิวเหมือนกับล้างออกไม่หมด
  • โฟม เตรียมขึ้นจากสารเคมีสังเคราะห์ มีคุณสมบัติขจัดไขมันได้ดีมาก ล้างออกได้ง่าย บรรจุภาชนะให้พกพาได้สะดวก แต่คุณสมบัติที่ล้างไขมันได้ดีเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาในกรณีที่ต้องใช้บ่อยๆ และในคนที่ใบหน้าแห้ง จึงเหมาะกับคนหน้ามันโดยเฉพาะ
  • เจล ประกอบด้วยสารเคมีและวิธีการเตรียมที่ต่างไปจากชนิดอื่นโดยสิ้นเชิง ไม่มีความเป็นกรด – ด่าง ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองแม้กับผิวหนังของทารก หรือบางครั้งกับผิวหนังที่เป็นแผล ไม่มีสารที่ก่อให้เกิดการอุดตันของไขมัน(Comedone) ชำระล้างความสกปรกและไขมันออกได้ดี และสามารถล้างออกได้โดยง่าย เหมาะสำหรับคนที่มีผิวปกติ และคนที่ผิวระคายเคืองง่าย ปัจจุบันเราสามารถผสมสารบำรุงผิวช่วยให้ผิวชุ่มชื้นนั้นลงในเจล เช่น มอยส์เจอร์ (Moisture) โซเดียมพีซีเอ (NaPCA) โปรตีน เป็นต้น

        การที่จะไม่ให้สารระคายเคืองมีผลต่อผิวหนังเลย ย่อมเป็นไปไม่ได้ จึงพยายามหลีกเลี่ยงให้ผิวหนังได้รับการระคายเคืองน้อยที่สุด เช่น เมื่อจำเป็นต้องออกกลางแจ้งถูกแสงแดดจัดๆ พยายามใส่เสื้อแขนยาวหรือกางร่มปกปิดผิวหนังให้โดนแดดน้อยที่สุด ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ยังมีวิธีป้องกันผิวหนังโดยใช้ครีมหรือสารที่มีคุณสมบัติกันแสงอัลตราไวโอเลต (ultraviolet) ทาป้องกันไว้ก่อน ครีมกันแดดจึงมีประโยชน์มาก

        โดยสรุป  การบำรุงรักษาผิวพรรณมีหลักง่ายๆ คือ รักษาสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจให้ดีอยู่เสมอ ทำความสะอาดผิวด้วยสารชำระที่เหมาะกับผิวหนังปราศจากสิ่งระคายเคือง ทานอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังสม่ำเสมอ ดื่มน้ำ มากๆ ทาครีมกันแดดทุกครั้งที่ออกแดดหรือใช้วัสดุป้องกัน  UV

 

ใช้อะไรล้างหน้าดี ?

        การล้างหน้ามีจุดประสงค์หลัก เพื่อล้างสิ่งสกปรกออก ซึ่งสิ่งสกปรกก็มีตั้งแต่เหงื่อ ไขมันที่หลั่งออกมาจากต่อมไขมัน เชื้อโรคบนผิวทั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อยีสต์ต่างๆ รวมทั้งสิ่งสกปรกจากภายนอก ซึ่งมีอยู่มากมายและเพิ่มขึ้นทุกๆ วัน โดยเฉพาะ มลภาวะ ฝุ่นละออง เขม่ารถยนต์ ควันเสีย ละอองน้ำมัน รวมทั้งสารเคมีต่างๆ

        ประเด็นสำคัญคือ ผิวคนเราโดยเฉพาะผิวหน้า นอกจากจะมีต่อมไขมันอยู่มากมาย แล้วยังมีขนาดค่อนข้างใหญ่ด้วย จึงขับไขมันออกมาเคลือบหล่อเลี้ยงผิว และไขมันที่ขับออกมาเคลือบผิวเหล่านี้เอง ที่จะเป็นตัวจับสิ่งสกปรก เปรียบเสมือนกาวที่คอยดักจับสิ่งสกปรกเหล่านี้ไว้ได้เป็นอย่างดี ดังนั้น ถ้าเราจะล้างสิ่งสกปรกซึ่งมีความมัน ถ้าใช้น้ำเปล่าล้างหน้า น้ำก็จะไม่สามารถล้างออกได้ จึงจำเป็นต้องใช้ตัวช่วยเพื่อให้ล้างคราบมันออกได้ดี คือ เจลล้างหน้า หรือคลีนเซอร์ (Cleanser)

        ผิวของคนเราโดยทั่วไป ตามปกติจะมีสภาพเป็นกรดอ่อน คือ pH ประมาณ 5 ถ้าเราใช้สบู่ทำความสะอาดผิว เมื่อล้างหน้าเสร็จแล้วผิวก็จะมีสภาพเป็นด่าง แต่ธรรมชาติของผิวจะต้องกลับมาอยู่ที่ pH เดิมดังนั้น  หลังทำความสะอาดประมาณครึ่ง หรือหนึ่งชั่วโมง ผิวก็จะกลับมาเป็นกรดอ่อนเหมือนเดิม ซึ่งหากใช้สบู่บ่อยๆ ผิวเราจะต้องคอยปรับ pH ของเราอยู่ตลอดเวลา นานๆ เข้าผิวก็เหนื่อย ความสามารถในการกลับสู่สภาพการเป็นกรดเหมือนเดิมก็จะลดน้อยลง ผิวก็จะทนต่อสบู่ได้น้อยลงตามไปด้วย  และในที่สุดผิวก็อ่อนแอ  คุณสมบัติต่างๆ ของผิวหนังในอันที่จะปกป้องผิวก็จะลดลง เกิดการแพ้และระคายเคืองได้ง่าย ดังนั้น ตัวผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีค่า pH ใกล้เคียงผิวหนังปกติ จะมีคุณสมบัติของการลดแรงตึงผิวน้อย มีความสามารถในการกำจัดสิ่งสกปรกต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ไขมัน มลภาวะต่างๆ บนผิว แต่จะต้องทำลายผิวน้อยที่สุด

        การล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า จะดีและเหมาะมากกับคนที่ผิวแห้ง ไม่แต่งหน้า ไม่ได้มีการทาครีมรองพื้น หรือแป้งผสมรองพื้น สบู่ยาจะมีตัวยาต่างๆ ผสมอยู่ เช่น ยาฆ่าเชื้อโรค กำมะถัน กรดซาลิไซลิค โดยโฆษณาว่าตัวยาต่างๆ จะช่วยรักษาโรคที่มีอยู่แล้ว เช่น สิวหรือดับกลิ่นตัว แต่ในความจริงกลับไม่ได้ช่วยโรคอะไรทั้งสิ้น เพราะเวลาถูสบู่สั้นมาก ยายังไม่ออกฤทธิ์รวมทั้งความเข้มข้นของตัวยาที่ผสมอยู่ก็มักจะต่ำมากด้วย กลับเป็นการกระตุ้นให้เชื้อดื้อยา ผิวแพ้ง่าย สารผสมบางชนิดก็ก่อให้เกิดคอมิโดนได้

 

มอยส์เจอร์ไรเซอร์ (Moisturizer)

การที่ผิวพรรณของเราจะสดใสเต่งตึงไม่แห้งผากนั้น จะต้องมีองค์ประกอบ 3 อย่าง ในผิวหนัง คือ

  1. น้ำ หากเซลล์ผิวหนังขาดน้ำ จะทำให้ผิวเหี่ยวแห้งแตก ลอกเป็นขุย แลดูไม่เรียบเนียน
  2. ไขมัน จากต่อมไขมันซึ่งขับออกมาเคลือบผิวเสมือนเกราะป้องกันไม่ให้น้ำระเหยออกไป
  3. สารให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ ผิวหนังเราจะมีสารเหล่านี้อยู่หลายตัว ซึ่งจะช่วยอุ้มน้ำให้คงอยู่ในผิวหนังได้

ผู้ที่ผิวแห้ง เนื่องจากมีความผิดปกติขององค์ประกอบ 3 อย่างนี้ ทำให้น้ำในผิวไม่เพียงพอ ควรใช้สารที่เพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิว ที่เรียกว่า มอยส์เจอร์ไรเซอร์

มอยส์เจอร์ไรเซอร์ (Moisturizer) หรือครีมให้ความชุ่มชื้น ทำหน้าที่ เติมน้ำให้ผิวหนังชั้นนอกสุด ป้องกันไม่ให้ผิวสูญเสียน้ำ ช่วยให้น้ำคงอยู่กับผิวได้นานขึ้น ทำให้ผิวไม่แห้ง อ่อนนุ่มชุ่มชื้น เนียนเรียบ ไม่เป็นขุย ส่วนประกอบโดยทั่วไปของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ ได้แก่

  • น้ำ เป็นส่วนผสมที่สำคัญสุด เพื่อทำให้ผิวเกิดความชุ่มชื้น อ่อนนุ่ม
  • น้ำมัน เป็นตัวเคลือบผิว เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำระเหยออกจากผิวได้ง่าย
  • สารอื่นๆ แล้วแต่จะใส่ เช่น วิตามินอี, เอ, อโลเวร่า, คอลลาเจน, อีลาสติน, ยูเรีย ฯลฯ

 

เมื่อใดควรใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์

  1. ผู้ที่มีผิวแห้ง เนื่องจากต่อมไขมันสร้างไขมันได้น้อยและไม่อาจกักเก็บน้ำไว้ได้ดีพอ
  2. ในฤดูหนาวหรือเมื่ออากาศแห้ง ความชื้นสัมพัทธ์ต่ำ ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย 

จังหวะเวลาการทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่ถูกต้อง คือ ควรทาภายใน 2 – 3 นาทีหลังอาบน้ำ หรือ ล้างหน้า เพราะมอยส์เจอร์ไรเซอร์จะช่วยกักเก็บน้ำที่เกาะอยู่ตามผิวหนังให้คงอยู่ได้นานขึ้น วิธีทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ (หรือครีมบำรุงใด) คือ ลูบไล้ครีมเบาๆ บนผิว ในทิศทางย้อนแรงดึงดูดของโลกเท่าที่กระทำได้

 

สารลดความมันของผิวหน้า

ความมันของผิวหน้ามาจากไขมัน (Sebum) ซึ่งผลิตจากต่อมไขมันใต้ผิวหนัง ต่อมไขมันจะผลิตไขมันได้มากน้อยจากปัจจัยต่างๆ ได้แก่

  1. สภาพแวดล้อมภายนอก เช่น ฤดูหนาว อากาศเย็น เลือดมาหล่อเลี้ยงผิวหนังน้อย จะผลิตไขมันน้อยกว่าปกติ ฤดูร้อน อากาศร้อน จะผลิตไขมันมากกว่าปกติ
  2. ฮอร์โมน ในวัยรุ่น ฮอร์โมนเพศจะกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตไขมันมากขึ้น วัยสูงอายุ ฮอร์โมนเพศลดลง ต่อมไขมันจะผลิตไขมันลดลง
  3. สารบางอย่าง เช่น อนุมูลของสังกะสี เอนไซม์บางชนิด จะขัดขวางกระบวนการสร้างไขมัน เป็นเหตุให้ต่อมไขมัน  แม้ทำงานปกติก็ผลิตไขมันได้น้อยลง

จากคุณสมบัติของสารในข้อ 3 นี้เอง จึงมีการนำมาผลิตเป็นเครื่องสำอางเพื่อลดความมันของผิวหน้า เช่น AL2, N.AL

ดังนั้น เมื่อทามอยส์เจอร์ผสมสารควบคุมความมัน ผิวหน้าจะได้รับสารที่ขัดขวางกระบวนการสร้าง Sebum ซึ่งจะคงอยู่ได้นานประมาณ 4 – 5 ชม. (มิใช่ทาครั้งเดียวแล้วออกฤทธิ์อยู่ได้ทั้งวัน) ทำให้การผลิต Sebum ออกมาเคลือบคลุมผิวหน้าน้อยกว่าปกติ ผลคือกว่าหน้าจะมันเหมือนที่เคยเป็นต้องใช้ระยะเวลานานขึ้น หากใช้แล้วยังไม่เป็นที่พอใจหรือหน้ามันบ่อย วิธีปฏิบัติที่ปลอดภัยคือ ซับหน้าด้วยกระดาษซับมัน ไม่ควรทาสารเคมีที่รุนแรง ขัดขวางหรือทำลายผิว

EasyCookieInfo