นอกเหนือจากเรื่องของพันธุกรรม ความบังเอิญแล้ว จากความรู้เรื่องอนุมูลอิสระ เข้าใจว่าภาวะกดดันจากอนุมูลอิสระหรือ oxidative stress น่าจะเป็นต้นเหตุของโรคแห่งความเสื่อม หรือกลุ่มโรคที่ไม่พบตัวเชื้อโรค ไม่ใช่โรคจากอุบัติเหตุ
มีโรคที่เกิดจาก oxidative stress หลากหลาย แล้วแต่ว่า เซลล์หรืออวัยวะใดถูกกระทบ ในกรณีที่ OS กระทำต่อเซลล์เม็ดเลือดขาว หรือภูมิคุ้มกันของร่างกาย ก็ยังแบ่งได้เป็นกลุ่มอาการผิดปกติใหญ่ๆ อย่างน้อย 3 กลุ่ม คือ
- ทำให้ T cell lymphocyte ซึ่งเป็นเม็ดเลือดขาวนักสู้ นักสืบประเภทหนึ่ง ผิดเพี้ยนไป ทำให้แยกแยะศัตรู เชื้อโรค สิ่งแปลกปลอมไม่ได้ ไปทึกทักเอาเนื้อเยื่อปกติของร่างกายว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม แล้วนำพาพวกพ้อง พลพรรคเม็ดเลือดขาวออกมารุมล้อม ทำลาย ก่อปฏิกิริยาอักเสบ เต็มพื้นที่ และต่อเนื่องยาวนาน เกิดเป็นภาวะอักเสบของเนื้อเยื่อหรืออวัยวะแต่ละแห่ง ภาวะกลุ่มนี้ เราจัดเป็นกลุ่มภูมิคุ้มกันทำร้ายตนเอง Auto immune disease หรือภูมิเพี้ยน ผลออกมาแล้วแต่เนื้อเยื่อที่ถูกกระทำ ดังจะกล่าวต่อไป
- กลุ่มความผิดปกติที่ภูมิคุ้มกัน ทำงานเกินพอดี กล่าวคือ มีเชื้อโรคเข้ามาปกติ แต่ภูมิคุ้มกันออกมาจำนวนมาก ก่อเกิดปฏิกิริยาอักเสบที่เกินพอดี ได้เป็นอาการรุนแรง ที่เราเรียกว่า ภูมิแพ้ เช่น อาการหอบหืด แพ้อากาศ ไรฝุ่น ซึ่งอันที่จริงภูมิยังมิได้แพ้ แต่ทำเวอร์ คือ ตอบรับหรือต่อต้านเกินจำเป็น
- กลุ่มที่เม็ดเลือดขาวภูมิต้านทานถูกทำลายจากศัตรูที่เข้ามา จนหมดกำลังไม่สามารถลุกขึ้นมาต่อสู้กับเชื้อโรคทั่วๆ ไปได้ เช่น ในกรณีเชื้อไวรัส HIV(เอดส์) ที่เข้าร่างกาย แล้วตรงเข้าทำลาย เซลล์ภูมิคุ้มกันทั้งหลาย ลักษณะนี้อาจเรียกเป็นภูมิพ่าย หรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Immune Deficiency) ดังนั้น อันตรายของโรคเอดส์ ก็คือ เป็นแล้วขาดภูมิต้านทาน ทำให้ติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัสแทรกซ้อน แล้วร่างกายต้านทานไม่ได้ ตกเป็นอันตรายจากเชื้อโรคแทรกซ้อน เช่น วัณโรค ปอดบวม แผลเน่าเปื่อย เชื้อก่ออักเสบทั้งหลาย เป็นต้น
ภูมิแพ้
เป็นลักษณะหนึ่ง ของความผิดปกติที่ระบบภูมิคุ้มกัน กล่าวคือ เมื่อ B cell Lymphocyte นำข่าวสาร ผู้แปลกปลอมบุกรุกเข้าสู่เจ้าเรือน แม้ผู้บุกรุกมีจำนวนเพียงเล็กน้อย แต่ Lymphocyte ของเจ้าเรือนกรูกันออกมากลุ้มรุมผู้บุกรุก ด้วยกองกำลังเต็มอัตราทุกครั้ง ก่อให้เกิดปฏิกิริยา หลั่งสารฮิสตามีนมากมาย เกิดเป็นการอักเสบเรื้อรัง ยิ่งถ้าเสริมส่งด้วยมลพิษ oxidative stress โดยขาดสารต้านอนุมูลอิสระ ก็ยิ่งอาการรุนแรงที่จริง รูปแบบการตอบโต้ของระบบภูมิคุ้มกันดังกล่าว ไม่ควรเรียกภูมิแพ้ เพราะยังไม่แพ้ แต่เป็นการทำเวอร์ของกองกำลังภูมิต้านทานเอง
ตัวอย่างของโรคภูมิแพ้ที่รู้จักดีคือ หอบหืด และผิวหนังอักเสบ (eczema) แพ้ถั่วฯ ส่วนใหญ่อาการกำเริบร่วมกับการออกกำลังกาย ปัจจุบันมีวัคซีน ที่ฉีดรักษาอาการภูมิแพ้ได้เพิ่มขึ้น แต่ก็ยังจำกัดอยู่ใน 3 – 4 กลุ่มหลัก คือ
- แพ้อากาศ
- โรคหืด
- แพ้ไรฝุ่น และ
- แมลงกัดต่อย แล้วแต่ชนิด เช่น ผึ้ง ต่อ
สารเสริมที่มีประโยชน์คือ สารต้านอนุมูลอิสระ ที่ดี ได้แก่ โอพีซี พบว่าวิตามินบี3 (ไนอาซิน) ขนาดสูง (50 – 150 มก.) ช่วยหยุดยั้งการหลั่งฮีสตามิน…ส่วน บี5 (กรดแพนโธทินิค) ขนาด 250 มก. ออกฤทธิ์ต้านฮิสตามินได้ น้ำมันปลาก็เสริมคุณภาพของเซลล์ และลดปฏิกิริยาอักเสบ แมกนีเซียมนั้นสำคัญ เกี่ยวกับการคลายตัวของกล้ามเนื้อมาก เนื่องจากโรคนี้มักเกิดอาการหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้อเกินขนาด หากขาดสารช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ อาการโรคย่อมจะยิ่งรุนแรง
หืด
เป็นอาการหนึ่งของกลุ่มโรคภูมิแพ้ การวินิจฉัยและการรักษาเบื้องต้น ต้องอาศัยยาแผนปัจจุบันจากแพทย์ เนื่องจากเป็นอาการรุนแรงเฉียบพลัน ส่วนใหญ่จึงต้องพึ่งสารสเตียรอยด์ หรือสารที่สั่งการเกี่ยวกับระบบประสาท ตัวรับทางประสาททั้งหลาย
โภชนาการช่วยได้มากคือ โอพีซี ขนาดสูง (200 – 300 มก. หรือ 5 มก./กก./วัน) และปัจจัยต่อการคลายตัว ลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ได้แก่ แมกนีเซียมขนาด 6 มก./กก./ วัน สารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ ล้วนมีบทบาทสูง และมีรายงานถึงผลตอบรับที่ดีได้แก่ กลูต้าไทโอน โคคิวเทน สังกะสี สารสกัดจากเห็ดหลินจือ และวิตามินซี การแพทย์ทางเลือก แนะนำให้ลองกดจุดเส้นประสาทคอที่ 7 ซึ่งตำแหน่งอยู่ที่โหนก ตรงก้านคอ 2 ข้าง ห่างจากปุ่ม C7 ออกไปข้างละ 1 ซม. อาการที่หนักหนาสาหัสแนะนำให้สวนกาแฟ
สิ่งที่ควรเลี่ยงคือไรฝุ่น รวมทั้งที่แพ้บ่อยได้แก่ ควันไฟ และนมวัว ฯลฯ ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันหอบหืดจากไรฝุ่นแล้ว ข่าวดีของผู้ป่วยภูมิแพ้คือ ท่านจะเป็นมะเร็งน้อยกว่าคนปกติ เพราะภูมิคุ้มกันปฏิบัติหน้าที่ได้ดีเยี่ยม (เกินไป) !
ภูมิพ่าย (Immune Deficiency)
เป็นภาวะที่เชื้อโรค (มักเป็นไวรัส) เข้าสู่ร่างกายแล้ว เข้าสู่เซลล์ทั้งหลาย โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวภูมิคุ้มกัน แล้วทำลายเซลล์นั้น ทำให้ร่างกายขาดเซลล์ภูมิคุ้มกัน หรือถูกทำลายไปมาก หรือหมด ผลลัพธ์ เมื่อร่างกายขาดเม็ดเลือดขาวภูมิคุ้มกันก็คือ ไม่สามารถปกป้อง ต่อสู้กับเชื้อโรค สิ่งแปลกปลอมอื่นที่เข้าสู่ร่างกายได้ เกิดการติดเชื้อเรื้อรัง ยากแก่การรักษา เช่น วัณโรค ฯลฯ
ตัวอย่างของภูมิพ่าย ก็คือ โรคเอดส์ (Acquired Immune Deficiency) การรักษาหลัก คือต้องพึ่งยาต้านไวรัสเอดส์ ดูแลร่างกายให้ไม่สัมผัสเชื้อโรค เพิ่มสารอาหาร เช่น น้ำมันปลา ตลอดจนชีวโมเลกุลทั้งหลาย ดูเหมือนว่าเบต้ากลูแคน ก็เป็นหนึ่งในความหวัง
ภูมิเพี้ยน
เชื่อว่าภูมิเพี้ยน เป็นเรื่องเกี่ยวกับพันธุกรรมส่วนหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นผลจากการกระทบต่ออนุมูลอิสระ (oxidative stress) อาจจะตั้งแต่ช่วงทารกในครรภ์ หรือเป็นผลสะสมของการถูกอนุมูลอิสระ กระทำอยู่เป็นเวลานาน สืบเนื่องจากกองทัพภูมิคุ้มกัน หรือกองกำลังเม็ดเลือดขาว กลุ่ม lymphocyte โดยเฉพาะ B cell และ T cell กล่าวคือ เซลล์ B หรือ T–helper อันเป็นเสมือนเม็ดเลือดขาว นักสืบ ซึ่งควรจดจำสิ่งแปลกปลอม (antigen) ต่างๆ ได้ถาวร เกิดอ่อนเปลี้ย สูญเสียสมรรถภาพไป จำผิด จำถูก ไปทึกทักเอาเซลล์เนื้อเยื่อปกติของร่างกายว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม แล้วพาพลพรรคเม็ดเลือดขาว ออกมารุมล้อมทำลาย มีผลทำให้เกิดปฏิกิริยาอักเสบอยู่ตลอดเวลา ในบริเวณที่หลากหลาย มีทั้ง บวม แดง ร้อน ปวดจากการอักเสบต่างๆ กัน โดยมักเป็นอาการเรื้อรัง
เหล่านี้ล้วนเป็นปฏิกิริยาในลักษณะ ภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Auto immune) หรือเรียกง่ายๆว่า “ภูมิเพี้ยน” ตำแหน่งที่เกิดการอักเสบก็แล้วแต่เนื้อเยื่อเจ้าเรือน ที่ถูกเล่นงานว่าเป็นกับอวัยวะใด เช่น
- เกิดกับลำไส้เล็ก เป็นโรคโครนส์
- หากเป็นที่ข้อต่างๆ เกิดข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือเป็นที่กระดูกสันหลังทำให้แข็งเป็นลำไม้ไผ่ (ankylosing spondylitis–bamboo spine)
- เป็นกับไขมันหุ้มเซลล์ประสาท เกิดอาการปวดเมื่อย อ่อนเพลีย กล้ามเนื้ออ่อนแรง (fibromyalgia)
- หากเป็นกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (connective tissue) ซึ่งมีกระจายอยู่ทั่วร่างกาย ก็ได้เป็นโรค SLE (systemic lupus erythematosus) บ้าง โรคหนังแข็ง (Scleroderma) หรือสะเก็ดเงิน (Psoriasis) ก็มี
- เป็นกับไต ส่งผลให้ไตอักเสบ (glomerulonephritis)
- หากเป็นที่ต่อมไทรอยด์ ก็เกิดไทรอยด์เป็นพิษ (Thyrotoxicosis)
- เกิดกับเซลล์ของตับอ่อน ทำให้เป็นเบาหวานในวัยเด็ก เป็นชนิดที่ต้องพึ่งพาอินซูลิน
สิ่งผิดปกติจากการตรวจเลือดผู้ป่วยภูมิเพี้ยน มักพบการรวมตัวตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง (Erythrocyte sedimentation Rate–ESR) สูงหรือเกิดเร็วกว่าปกติ กล่าวคือ เม็ดเลือดแดงเกาะกลุ่ม จับตัวเหนียวแน่นกว่าปกติ เนื่องจากมีสารพิษแปลกปลอมอยู่ภายใน
การรักษา หนทางรักษาของแพทย์แผนปัจจุบัน มักเป็นเพียงการให้ยาแก้อักเสบ อาจเป็นสเตียรอยด์หรือไม่สเตียรอยด์ทั้งหลาย กับรักษาอาการที่เกิดเฉพาะหน้า การซ่อมบำรุงเจ้าเรือนในระดับเซลล์ จึงเป็นทางเลือกเสริมที่น่าจะช่วยตัวเองได้มากขึ้น อย่างน้อยก็ลดความรุนแรงของโรค ทำให้พึ่งยาน้อยลง
ในเมื่อ สิ่งบอกเหตุ ESR สูง ว่าน่าจะเป็น ภูมิเพี้ยน ชีววิถีที่พึงปฏิบัติคือ :-
- วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระทั้งหลายนั้นมีบทบาทสำคัญในผู้ป่วยภูมิเพี้ยนทั้งเป็นการปกป้องมิให้อาการโรคกำเริบเพิ่มขึ้น ยังช่วยทุเลาอาการได้ จึงนอกจากต้องคอยดูแลมิให้ขาดตกบกพร่อง
- ในผู้ป่วยภูมิเพี้ยนแล้วยังต้องหาเสริมจากอาหาร เช่น ผัก ผลไม้ ให้เพียงพอ ซึ่งหากขัดข้องก็คงต้องพึ่งพาจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อาทิ ควรมีสารต้านอนุมูลอิสระให้เพียงพอ โดยเฉพาะสารต้านอนุมูลอิสระ (antox) ที่ทรงประสิทธิภาพในปัจจุบัน คือโอพีซี และกลูต้าไทโอน…อาจรวมไปถึงหลินจือ และน้ำ ORP ลบ
- อีกหมวดสารอาหารที่สำคัญ ในการสร้างเสริมสุขภาพเซลล์และผนังเซลล์ ตลอดจนช่วยรักษาสมดุล ต้านอักเสบ คือ น้ำมันปลา โอเมก้า3 ซึ่งในธรรมชาติควรมีอัตราส่วน n3:n6 = 1:1 แต่เนื่องจากอุตสาหกรรม อาหาร น้ำมันพืช ซึ่งอุดมด้วย n6 ถูกใช้เป็นหลัก ในการประกอบอาหาร ทำให้อัตราส่วน n3:n6 พุ่งขึ้นไปเป็น 1:20 โดยพบว่า n3สามารถต้านปฏิกิริยาอักเสบที่ n6 ก่อ ได้ที่อัตราส่วนสูงสุดไม่เกิน 1:4
- ผู้เป็นโรคภูมิเพี้ยนส่วนใหญ่มักมีอัตราเผาผลาญสูง ทำให้สูญเสียโคคิวเทน และแมกนีเซียม ไปมาก รวมถึงเสบียงแร่ธาตุ ที่ต้องใช้ปกติภายในไมโตคอนเดรียของเซลล์ จึงต้องมีวิตามินบี ซี อี เหล็ก แคลเซียม แมกนีเซียม ซีลีเนียม จากผักผลไม้หลากสี สำหรับปริมาณความต้องการแมกนีเซียมปกติอยู่ที่ 6 มก./กก./วัน แล้วแต่น้ำหนักตัวของแต่ละคน โอพีซี ควรเป็น 300 มก./วัน โคคิวเทน ควรเป็น 100 – 200 มก./วัน
- ควรลดอาหารกลุ่มโปรตีน นม ไขมัน ซึ่งไปเพิ่มสภาวะกรด อาการอักเสบต่อหลอดเลือด แต่เพิ่มข้าวกล้อง มัน เผือก หรือกลุ่มคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน
- เลี่ยงหรือลด ไขมันทรานส์ ไขมันอิ่มตัวสายโซ่ยาว ของทอด ปิ้ง ย่าง ของเค็ม หมัก ดอง (โซเดียม)
- เพิ่มผักผลไม้หลากสีในอาหารแต่ละมื้อให้มาก เพื่อเพิ่มกากไย ขับพาสารพิษในลำไส้ออกไป…หากต้องการกำลังเสริม ที่ไปกระตุ้นให้ตับทำงาน สุดความสามารถในการขจัดสารพิษ ก็คือ วิธีสวนกาแฟ (ศึกษารายละเอียดตลอดจนวิธีปฏิบัติตนที่ชัดเจนกว่านี้ ได้จากหนังสือ “บำบัดภูมิเพี้ยนด้วยวิธีธรรมชาติ” เขียนโดย พญ.ลลิตา ธีระสิริ ISBN 978-974-9751-21-3)
- อีกสองประสานแห่งภูมิชีวิตที่ดีคือ การออกกำลังกายที่พอเหมาะ กับพลังสมาธิ ประสิทธิภาพของเม็ดเลือดขาวยังเสริมเพิ่มเติมความแข็งแกร่งได้จากการออกกำลังกายสม่ำเสมอ อัตราการออกกำลังกายที่พอเหมาะคือ 60% MHR การฝึกสมาธิ เสริมพลังจิตให้แก่เซลล์ทั้งหลาย การเข้านอนก่อน 4 ทุ่ม และหลับได้ไม่เครียด เป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำงานเต็มประสิทธิภาพของตับในการขจัดสารพิษ และเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย
- สำหรับผู้สนใจวิธีฝึกสมาธิทางลัดแบบง่ายๆ ขอให้อ่าน “ไอน์สไตน์ถามพระพุทธเจ้าตอบ”โดย อ.ศุภวรรณ พ.พรรณวงศ์ กรีน
- การแพทย์ชีวโมเลกุล แนะนำให้ซ่อมแซมต่อมไทมัสด้วยเซลล์จากต่อมไทมัส หากมีการอักเสบของผิว การให้เซลล์ผิวเนื้อก็น่าจะช่วยเสริมพื้นฐานของเซลล์ผิวหนังได้อีกทางหนึ่ง ส่วนอื่นๆ แล้วแต่อวัยวะที่ถูกรบกวนหรือทำลายไป